พลังสวดมนต์ ที่สืบทอดจากสมัยโบราณกาล ด้วยวิทยาศาสตร์สมัยใหม่

0

พลังสวดมนต์ ที่สืบทอดจากสมัยโบราณกาล ด้วยวิทยาศาสตร์สมัยใหม่

ในเรื่องของวิทยาศาสตร์นั้น เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ได้พิสูจน์พลังของการที่คนเรานั้นการสวดมนต์ นอกจากจะเป็นการสร้างบุญแล้วนั้น ยังช่วยให้สมองซีกซ้ายและซีกขวา ”ซิ้งค์” กันได้ดี โดยสมองส่วนต่างๆ จะทำงานเข้าขากันได้ดีมาก ทำให้การทำงานของสมองมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

อเล็กซา อิริคสัน ผู้ชื่นชอบการรักษาสมดุลแห่งชีวิตและความสุขจากภายใน ได้ค้นคว้าและเขียนลงในเว็บไซต์ เกี่ยวกับประโยชน์ของการสวดมนต์ที่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่พิสูจน์แล้ว ใจความว่าการเชื่อมโยงเรื่องราวทางจิตให้เข้ากับวิทยาศาสตร์ดูจะเป็นเทรนด์ของโลกวันนี้ ผู้คนสมัยนี้เรียกร้องให้มีการพิสูจน์ก่อนที่จะ เชื่อถือเรื่องต่างๆหรือการปฏิบัติใดๆ

การสวดมนต์ นั้นเป็นของโบราณและเกิดขึ้นมายาวนานก่อนที่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่จะบังเกิดขึ้นมาและสนับสนุนเรื่องนี้ มีการใช้การสวดมนต์ เพื่อรักษาโ ร คและจุดพลังตัวตนเราให้สูงค่าดีงามขึ้น ปัจจุบันนี้วิทยาศาสตร์สามารถทำให้เราเชื่อมโยงกับสิ่งโบราณแต่ทันสมัยสิ่งนี้ได้แล้ว

ไม่ว่าจะสวดมนต์อย่างถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง รู้ความหมายหรือไม่รู้ความหมาย ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ การสวดมนต์ได้รับการยกย่องว่าเป็นเครื่องมือ ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาวะทั้งร่างกายและจิตใจ เด็กๆ ก็สามารถสวดได้ แม้ไม่รู้ความหมาย ตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจบ้างดังนั้นเป็นเรื่องที่ดี ที่จะสนับสนุนให้เด็กฝึกสวดมนต์ตั้งแต่เด็ก เพราะเกิดประโยชน์ด้านสุขภาวะกายใจของเด็ก

ตามแบบแผนดั้งเดิมนั้น การสวดมนต์ในศาสนาฮินดู พุทธ คริสต์ อิสลาม และฮีบบรู มักใช้เป็นวิธี ปลุกคุณสมบัติด้านสว่างในตัวคุณ หรือใช้รักษา ผู้คน แต่ ทุกวันนี้มีเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับการสวดมนต์มากขึ้น นั่นคือสวดมนต์เพื่อรักษาสุขภาพและความสุข

มีความเป็นวิทยาศาสตร์หลากหลายสาขาที่อยู่เบื้องหลังการสวดมนต์ โดยโจนาธาน โกลด์แมน ชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นทั้งนักเขียน นักดนตรี และอาจารย์สอนในสาขาการบำบัดด้วยเสียงและคลื่นความถี่ กล่าวว่า “การสวดมนต์มีความเป็นศาสตร์แข็ง เช่น ฟิสิกส์ หรือเกี่ยวกับประสาทสัมผัสของมนุษย์ด้านการได้ยิน และอื่นๆ บางทีก็มีความเป็นศาสตร์แห่งจิตวิญญาณ เช่น การปฏิบัติของสายโยคะต่างๆที่มีการใช้เสียงด้วย”

ดร.เฮอเบิร์ท เบนสัน ศาสตราจารย์ นักเขียน อายุรแพทย์เชี่ยวชาญด้านหัวใจ และผู้ก่อตั้งสถาบันการแพทย์ด้านร่างกายและจิตใจแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ศึกษาดูว่า การสวดมนต์ช่วยทำให้เกิดภาวะการตอบสนองอย่างผ่อนคลาย โดยนิยามการตอบสนองนี้ว่าเป็นความสามารถเฉพาะ บุคคลที่จะกระตุ้นให้ร่างกายปล่อยคลื่นสมองซึ่งทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย กระบวนการหายใจช้าลง และความดันโลหิตลดลง

โกลด์แมนกล่าวว่า ดร. อัลเฟรด โตมาติส ใช้เสียงสวดมนต์ของนักบวชเกรกอเรียนกระตุ้นระบบประสาท สมอง และหู ของผู้เข้ามาบำบัด งานของ เขาสำคัญมากต่อประโยชน์ของเสียงและการสวดมนต์ในทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ เขาพบด้วยว่า เสียงที่จำเพาะ มีความถี่เสียงที่สูงเป็นพิเศษจะกระตุ้นและสร้างพลังให้สมองส่วนคอร์เทกซ์และระบบประสาท และเขารู้ว่า เสียงสวดมนต์แบบอื่นจากประเพณีอื่นก็มีผลเช่นเดียวกัน นอกจากมีการศึกษาปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ในเรื่องการสวดมนต์ยังมีมี การศึกษาในศาสตร์อื่นอีกเหมือนกัน

ดร.เดวิด ชานานอฟ – คาลซา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยเพื่อกลไกร่างกายและจิตใจแห่งสถาบันไบโอเซอกิตแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียซานดิเอโก และเป็นสมาชิกของศูนย์การแพทย์ผสมผสานที่มหาวิยาลัยแห่งนี้ รายงานถึงแนวคิดการใช้ การสวดมนต์เพื่อช่วยในการรักษาแบบฝังเข็ม

ดร.รานจิ สิงห์ นักประสาทวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักธุรกิจ และนักการศึกษาโลก พบว่า การสวดมนต์เจาะจงบทใดบทหนึ่งซ้ำๆ จะทำให้ร่างกายปล่อยฮอร์โมนเมลาโทนิน ซึ่งเกิดประโยชน์มากมายเช่นช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น

อเล็กซา ปิดท้ายว่า เมื่อเรารู้สึกไม่สบายทางร่างกายและจิตใจ แล้วแสวงหาการรักษา แม้ภาพของโลกที่การสวดมนต์กลายเป็นคำแนะนำอันดับต้นๆที่ทำให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจ อาจจะดูเป็นงานที่ยาก แต่ผู้คนทุกวันนี้ก็ตระหนักขึ้นเรื่อยๆ ว่าเราสามารถสวดมนต์เพื่อสุขภาพและความสุข ให้เราหวังกันเถอะว่า เราจะทำให้พลังของการสวดมนต์อยู่ในสเกลที่ใหญ่ขึ้น และเกิดขึ้นให้เร็วที่สุด

ขอบคุณข้อมูลจาก : พลังจิต

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here