แพทย์บอกมา ให้กินมะละกอสุกวันละ 2-3 ชิ้น ร่างกายจะเปลี่ยน

0

แพทย์บอกมา ให้กินมะละกอสุกวันละ 2-3 ชิ้น ร่างกายจะเปลี่ยน

มะละกอ เป็นหนึ่งในผลไม้ที่หลายคนต่างรู้จักกันดี นอกจากความอร่อยที่มีในตัวผลไม้ชนิดนี้แล้วก็ยังถือเป็นหนึ่งในผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเรามากๆ

คนบ้านเราส่วนใหญ่มักจะนิยมทานมะละกอทั้งสุกและดิบ โดยมะละกอดิบนั้นมักจะนำไปประกอบในเมนูส้มตำและแกงส้มที่เรานิยมทานกันส่วนมาก และแบบสุกนั้นจะมักนิยมทานเป็นผลไม้หรือจัดเป็นผลไม้มงคลงานเลี้ยงประจำปีต่างๆ มาเป็นผลไม้ทานเล่น

โดยในมะละกอสุกนั้น มีสรรพคุณทางยาที่สำคัญที่ช่วยในเรื่องของการระบาย และขับของเสียออกจากร่างกายได้ดีมากๆ ซึ่งผู้เขียนได้พิสูจน์ความจริงนี้แล้วในสมัยเรียนระดับปริญญาตรี เนื่องจากผู้เขียนมักเป็นหวัดบ่อยจึงไปขอยาจากหน่วยอนามัยของมหาวิทยาลัยและได้ยาปฏิชีวนะ (หลายคนเรียกว่ายาแก้อักเสบ…ซึ่งผิด) มากิน โดยทุกครั้งที่กินมักเกิดอาการท้องผูก (เนื่องจากยาไปทำลายสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่) จึงแจ้งแก่แพทย์ผู้จ่ายยา เขาก็ได้รับคำแนะนำให้กินมะละกอสุก ซึ่งต่อมาเมื่อเรียนสูงขึ้นจึงทราบว่า เนื้อมะละกอนั้นมีใยอาหารซึ่งเป็นอาหาร (พรีไบโอติก) ของแบคทีเรียกลุ่มแลคโตแบซิลัส (โปรไบโอติก) ซึ่งเมื่อแบคทีเรียกลุ่มนี้เจริญมากขึ้นก็จะเข้าควบคุมสถานการณ์ทำให้ระบบขับถ่าย เข้าสู่ความเป็นปกติ

ในงานวิจัยหลายๆชิ้น ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ในมะละกอสุกนั้นเป็นผลไม้ที่มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งชนิดต่างๆได้ เพราะเป็นผลไม้ที่อุดมทั้งพฤกษเคมีต่างๆ เช่น สารฟลาโวนอยด์ วิตามินต่าง ๆ ซึ่งมีเบต้าแคโรตีนเป็นตัวชูโรงสำคัญ ตามด้วยโฟเลต ไทอามีน (วิตามินบี 1) ไรโบฟลาวิน (วิตามินบี 2) ไนอาซิน (วิตามินบี 3) กรดแพนโทเทนิก (วิตามินบี 5) วิตามินซี ฯลฯ สำหรับแร่ธาตุที่สำคัญคือ โปแตสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม เป็นต้น ดังนั้น หากใครที่ชอบทานมะละกอสุก มักจะมีเหงือกสวยมีสุขภาพช่องปากที่แข็งแรง อีกทั้งยังช่วยป้องกันอาการของโลหิตออกตามไรฟันได้เป็นอย่างดี

ครั้งหนึ่งผู้เขียนเคยได้ทุนทำวิจัยเกี่ยวกับอาหารต้านสารก่อกลายพันธุ์ (ซึ่งสามารถแปลผลถึงการต้านมะเร็ง) จากสภาวิจัยแห่งชาติ อาหารจานที่ได้รับความสนใจมากที่สุดเนื่องจากผลการศึกษาพบว่า สามารถต้านสารได้ดีในลำดับต้น ๆ คือ ส้มตำ (สูตรที่ใช้ศึกษาไม่ใส่ปูเค็ม เพราะปูมักมีเชื้อพยาธิ) ซึ่งก็ไม่น่าประหลาดใจ เพราะเมื่อพิจารณาจากใยอาหารจากมะละกอ พร้อมทั้งเครื่องเทศและสมุนไพรที่ใช้ปรุงส้มตำแล้ว ผู้เขียนสามารถระบุได้เลยว่า ส้มตำเป็นองครักษ์พิทักษ์มะเร็ง ดังนั้นผู้เขียนจึงมักแนะนำผู้ที่นิยมกินอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง เช่น อาหารปิ้ง ย่าง รมควัน เนื้อสัตว์ต้มตุ๋นนาน และเนื้อหมักต่าง ๆ ให้กินอาหารนั้น ๆ คู่ไปกับส้มตำ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากสาว ๆ ที่กินส้มตำสัปดาห์ละเจ็ดวัน วันละสามมื้อ

สำหรับผู้ที่กินมะละกอสุกเป็นของหวานหลังมื้ออาหารนั้น มักเป็นผู้ที่มีภูมิต้านทานที่ดีไม่ค่อยเจ็บป่วย เนื่องจากอาการของติดเชื้อเพราะร่างกายของเราได้เปลี่ยนเบต้าแคโรทีนที่ได้จากการทานมะละกอสุก ซึ่งเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ประกอบกับเนื้อของมะละกอที่มีวิตามินซีที่สูงมาก จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการทำงานร่วมกันกับโปรตีนและสังกะสีจากเนื้อสัตว์ สามารถช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันได้ดีอีกด้วย อีกทั้งยังช่วยทำให้ป้องกันภาวะจากจอประสาทเสื่อม ทำให้ผู้ที่กินมะละกอสุกเป็นประจำมีดวงตาที่สดใสป้องกันการเกิดโรคต่างๆจากดวงตาได้เป็นอย่างดี

สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับมะละกออีกสิ่งหนึ่งนั่นคือ ยางจากผลดิบและลำต้นนั้นมักถูกนำไปใช้ในการหมักเนื้อสัตว์ต่างๆให้เนื้อสัตว์เหล่านั้นนุ่มและเปื่อยมากยิ่งขึ้น เนื่องจากในยางมะละกอนั้นมีเอนไซม์ชนิดหนึ่งชื่อว่า ปาเปน (Papain) ช่วยย่อยโปรตีนบางส่วนในเนื้อสัตว์ก่อนถูกนำไปปรุงให้สุก ดังนั้นผู้ที่กินมะละกอดิบในลักษณะส้มตำจึงได้ยางนี้ไปช่วยในการย่อยเนื้อสัตว์ในทางเดินอาหาร แต่อย่างไรก็ดีการที่เรานำมะละกอดิบมาประกอบในเมนูอาหารนั้น ควรที่จะล้างให้สะอาดเพราะในบางทีนั้นเนื้อมะละกอดิบที่เรากินเข้าไปมากๆ ถือว่าเป็นดาบสองคมเพราะบางทีอาจจะมีสิ่งสกปรกแฝงอยู่ในตัวมะละกอในขั้นตอนของการปลูกก็ได้

เรียบเรียง : postsara

ขอบคุณข้อมูลจาก : share-si

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here