ชีวิตพลิกขายประกัน สู่พระเอกดัง ‘ดิลก’ หมดบ้านรถ เหลือติดตัว 27 บาท

0

ชีวิตพลิกขายประกัน สู่พระเอกดัง ‘ดิลก’ หมดบ้านรถ เหลือติดตัว 27 บาท

คุณดิลก ทองวัฒนา เป็นอดีตพระเอกแถวหน้าของวงการบ้านเรา ที่ปัจจุบันเป็นนักแสดงนำแถวหน้าที่รับบทบาทของพ่อ มีฝีมือการแสดงเรียกได้ว่าเป็นตัวพ่อของวงการเลยก็ว่าได้ เป็นคุณพ่อจอมกะล่อน บางครั้งเล่นบทบาทตัวโกงได้อย่างสุดยอดจริงๆ

และเรื่องราวของคุณดิลก ทองวัฒนา หรือที่เรียกว่าคุณหมู ได้พบกับความล้มเหลวในชีวิต เริ่มต้นจากการติดลบและแย่ไปกว่า 0 ชีวิตนั้นมีจุดเปลี่ยนหลายครั้งจนค้นพบความสุขที่แท้จริง

ชีวิตของคุณดิลกนั้น จากไม่มีอะไรเป็นคนต่างจังหวัด ฐานะครอบครัวก็ธรรมดา ไม่มีบ้านไม่มีรถเป็นของตัวเอง อยู่บ้านเช่าพ่อเป็นครูแม่เป็นแม่บ้าน มีลูกทั้งหมด 4 คน มีหนี้สินพะรุงพะรังเต็มไปหมด เลยไปคว้าตามหาความฝัน สมัครเป็นนักแสดง นายแบบ และถูกปฏิเสธมานับครั้งไม่ถ้วน จนในที่สุดได้ตามฝัน เขาได้เป็นพระเอก เขามีชีวิตที่ดีขึ้น แต่ชีวิตพลิกผันเลิกกับภรรยา ล้มเหลวหมดตัวยิ่งกว่าสูญเสียอีก

ทางด้านล่าสุดนักแสดงรุ่นใหญ่ผู้ที่ได้ฉายาว่าเป็นพ่อทุกสถาบัน อย่างคุณดิเรกนี้ ได้ออกมาเปิดใจเรื่องราวที่ผ่านมาทางรายการของ คุยแซ่บShow โดยมีพิธีกร PK และชมพู่ ก่อนบ่าย เป็นคนสัมภาษณ์

คุณอาจำได้มั้ยว่าเป็นพ่อใครมาแล้วบ้าง ?

ดิลก ทองวัฒนา : เอาแบบคนที่ไม่เคยเป็นลูกดีกว่า น่าจะมี ณเดชน์ นอกนั้นน่าจะเคยเป็นหมดแล้ว

ช่วงนี้ฮอตมาก คิวแน่นขนาดไหน ?

ดิลก ทองวัฒนา : ก็ทำงาน 7 วัน ถ่ายละครหมดเลย ประมาณ 5 เรื่อง เรื่องการแบ่งคาแรคเตอร์ก็เริ่มตั้งแต่เราอ่านบท ก็เปรียบเหมือนเราแบ่งสีของตัวละคร

ณ ตอนนี้ความเป็นพ่อฮอตกว่าตอนเป็นพระเอก จริงหรือเปล่า ?

ดิลก ทองวัฒนา : ถ้าในแง่ของปริมาณงานน่าจะมากกว่า เพราะพระเอกจะรับงานได้เรื่อง สองเรื่อง แต่พอมาเป็นดาราสนับสนุน มาเป็นพ่อเนี่ย มันก็ไม่ใช่เราทุกวันแล้ว เราก็สามารถซอยวันได้ ถ้าถามอันไหนดีกว่า พ่อดีกว่า

สำหรับครอบครัว ทองวัฒนา อาเป็นคนแรกเลยใช่ไหมที่ซื้อบ้านให้ตัวเอง อันนี้จริงมั้ย ?

ดิลก ทองวัฒนา : ทองวัฒนามันมีหลายแวดวง หลายสาขา เฉพาะแวดวงแถวบ้านอาเอง ต้องบอกว่าอาอยู่บ้านเช่ามาตลอด ไม่เคยมีบ้านเป็นของตัวเอง จนมาเป็นอาชีพนักแสดงก็เก็บเงินซื้อบ้านเป็นของตัวเอง ตอนนั้นเป็นเรือนหอใช้ชีวิตแต่งงานครั้งแรก

ตอนนั้นแต่งงานช่วงไหน ?

ดิลก ทองวัฒนา : เป็นพระเอกได้สัก 4-5 ปี ก็แต่งได้ 7 ปี ซึ่งชีวิตคู่ไม่จำเป็นต้องยึดว่าเขาต้องเป็นของเรา วันนึงเขามีสิทธิ์ที่จะเดินออกไปจากชีวิตได้ แต่การเดินออกไปจากชีวิตคู่ของอาเนี่ยมันก็มีคนนึงที่ต้องเจ็บปวด ซึ่งในช่วงนั้นรู้สึกว่าอาเป็นคนเจ็บ และทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนแต่งงาน อาก็เดิมพันต้นทุนของชีวิตอาไปให้หมด

ทั้งหมดที่อาเก็บสะสมมา ตอนที่แยกกัน อายกให้เขาหมด ?

ดิลก ทองวัฒนา : ใช่ครับ ตอนหลังพอมันจบลงด้วยการหย่าร้าง เนื่องจากไม่ได้ตกลงกันก่อน มันก็ต้องมีคนนึงที่บอกว่า โอเคไม่ได้รับอะไร ซึ่งอาเป็นคนไม่ได้รับอะไรตรงนั้น

แสดงว่าตอนนั้นอาไม่มีอะไรติดตัวเลย ?

ดิลก ทองวัฒนา : ใช่ครับ ก็ต้องเดินออกมาแบบนั้น คือทุกอย่างตอนนั้นมันเป็นสินเดิม อายกให้เป็นสินเดิมก่อน อาไม่มีสินสมรส ซึ่งมันก็ไม่สมดุลกับชีวิตในเวลานั้น ชีวิตพระเอกเนี่ย การมีชื่อเสียง การอยู่ในวงการเนี่ยไปที่ไหนคนก็รู้จัก คนจำได้ มันก็มีความสุขดีถ้ามีเงินในกระเป๋า แต่ถ้าความไม่สมดุลเกิดขึ้น คือเงินไม่มี แต่ความดังยังเกิดขึ้นอยู่ชีวิตมีปัญหา

ตอนนั้นคุณอาเลือกใช้เส้นทางไหน เริ่มต้นชีวิตใหม่ยังไง ?

ดิลก ทองวัฒนา : ถ้าเราตั้งสติให้กับตัวเองได้ เรายอมแพ้ซะ ยอมแพ้ก็คือสถานการณ์เป็นแบบนั้นจะเอาชนะมันหรอ คนสองคนมาอยู่ด้วยกัน อีกคนนึงไม่อยู่จะเอาชนะจะให้เขาอยู่หรอ ซึ่งตอนที่แยกทางกันก็ไม่มีใครรู้ มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรพูดเป็นเรื่องที่อาไม่อยากบอก ไม่อยากให้ใครมานั่งตีความหมายในชีวิตเรา

ตอนนั้นคุณอาใช้ชีวิตยังไง บ้านก็ไม่มี รถก็ไม่มี เงินติดตัวน้อยมาก ?

ดิลก ทองวัฒนา : ชีวิตเหมือนไม่มีทางไป แล้วก็ไม่มีความเชื่อเหลืออยู่ว่าจะกลับมายืนที่เดิมได้แล้ว การสูญเสียครั้งนั้นเป็นการสูญเสียที่เข้ามาหลายอย่างที่ต้องรับมือ สูญเสียชีวิตคู่ สูญเสียเรื่องงานช่วงที่ดีที่สุดของอากำลังจะจบไป แล้วชีวิตทรัพย์สินก็มีปัญหา เงินทองก็มีปัญหา

มีจุดท้อหนักสุดขนาดไหน ?

ดิลก ทองวัฒนา : มันหาตัวเองไม่ได้ ได้แต่โทษสิ่งแวดล้อม โทษคู่ โทษไปมันก็ไม่มีประโยชน์ก็เลยได้จุดและได้สติ หลังจากผ่านไปปีกว่า ๆ ซึ่งปีกว่า ๆ ที่ผ่านไปอยู่กับน้ำตาทุกวัน บางทีร้องไห้ไม่มีสาเหตุ บางทีเราตั้งคำถามผิด ชีวิตมันก็ผิดเลย

เคยเป็นหนักถึงขั้นคิดจะไปจากโลกใบนี้มั้ย ?

ดิลก ทองวัฒนา : คนเราเวลาสุขคู่กับทุกข์มันอยู่กับตัวเราตลอด ในช่วงเวลานั้นที่มันทุกข์มาก ๆ ถึงขนาดจะไปเลยก็มี แต่เป็นแค่ความคิดที่เป็นช่องทางนึงของการหาทางออกของมนุษย์ เป็นการแก้ปัญหา แต่ว่าในที่สุดแล้วเรายังมีแม่ ยังมีครอบครัว เราก็ต้องมองอีกด้าน พลิกตัวเอง มองตัวเองมากขึ้น หาวิธีแก้ปัญหา ต้องสู้แล้ว ปรากฏว่ามีผู้หญิงคนนึงเข้ามาในชีวิต เข้ามาตกลง อาก็เลยก้าวมาอีกอาชีพนั่นก็คืองานขายประกัน

อาเข้ามางานขายประกันได้ยังไง ?

ดิลก ทองวัฒนา : ภรรยาอาเขาชวน ตอนนั้นเราไม่มีต้นทุนอะไรมากมายก็เลยคิดว่าไปทำอะไรก็ได้ที่มันใช้ความพยายาม ใช้ความทุ่มเท ตอนนั้นก็มีเพื่อน ๆ ทำอยู่แล้วมันสำเร็จไปได้ดีเราก็เลยตามเขาไป

พอคนจำภาพอาตอนเป็นพระเอกแล้วตัดภาพมาเป็นคนขายประกัน รับมือกับความรู้สึกนั้นยังไง ?

ดิลก ทองวัฒนา : ก่อนจะไปถึงสายตาคนอื่น สายตาตัวเองต้องมองก่อน ตัวเองก็ยังไม่ยอมรับตัวเอง จะไปทำอาชีพอื่นได้มั้ย ถ้าไปทำงานขาย ขายให้คนอื่นเขาสงสัยในตัวเราก็ไม่มีใครชอบหรอก แต่วันนึงมาคิดว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไร จริง ๆ เราเกิดมาเพื่อทำงาน งานอะไรก็ได้ที่มันสุจริต

มีโดนดูถูกกับอาชีพตรงนี้มั้ย ?

ดิลก ทองวัฒนา : อาจจะมีด้วยความรู้สึกเรามั้ง แต่ที่ชัดเจนที่สุดก็คือในระหว่างคุยกัน เราก็ไม่รู้ว่าเขาฟังที่เราอธิบายการขายของเราหรือเปล่า แต่มันจะมีบางจังหวะที่เขาแอบเข้าห้องน้ำแล้วกลับมานั่งแล้วยื่นโน้ตมาให้แล้วเขียนว่าอธิบายเสร็จออกจากบ้านไปด้วย เราไม่ซื้อ เราก็รับมาแล้วไปอ่านในห้องน้ำแล้วน้ำตาก็อยู่ในนั้น มันก็เป็นความรู้สึกสงสารตัวเอง แต่จริง ๆ มันเป็นสิทธิ์ของลูกค้า แต่สุดท้ายก็ปรับตัวเองใหม่ ถามตัวเองว่าตั้งใจทำอาชีพนี้ใช่มั้ย ก็ตอบตัวเองว่าใช่

จุดนั้นถือเป็นจุดที่ต่ำสุดของชีวิตมั้ย ?

ดิลก ทองวัฒนา : ถ้าผ่านมาถึงวันนี้ ผ่านจุดนั้นมาได้ ก็น่าจะเป็นจุดที่ยากลำบากในการที่จะผยุงตัวเอง

ช่วงนั้นขายประกันไม่ได้เลย แล้วมีเงินติดตัว 27 บาท ?

ดิลก ทองวัฒนา : ใช่ คือที่เหลือเงินแค่นั้นก็เพราะว่า หลังจากที่ทำงานไปได้ 6-7 เดือนเนี่ย อากับแฟนรู้สึกว่าชีวิตนี้มันต้องสร้างด้วยกัน แล้วถ้าหากว่าถ้าเราจะมีมุดหรือมีหลักที่จะไปบอกแฟนเราได้ก็คือ บ้าน เอาเงินไปดาวน์บ้าน คือเงิน 2 รวมกันแล้ว เหลือ 27 บาท แล้วเดือนต่อไปจะเจออะไรก็ต้องสู้กันไป

Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here