ดูแลพ่อแม่ “ไม่ใช่ภาระ” แต่เป็นการสร้างบุญครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิต

0

ดูแลพ่อแม่ “ไม่ใช่ภาระ” แต่เป็นการสร้างบุญครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิต

หลายต่อหลายคนมักมีความคิดว่า การเลี้ยงดูครอบครัวเป็นภาระที่จะต้องรับผิดชอบอย่างหนึ่ง เป็นหน้าที่ที่เราจะต้องดูแลรับผิดชอบ แต่เราอยากจะบอกทุกๆคนว่าการกตัญญูดูแลพ่อแม่และครอบครัวนั้นไม่ใช่ภาระแต่อย่างใด เขาเรียกว่าหน้าที่และคือบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ที่เราสามารถตอบแทนท่านได้

หน้าที่อันยิ่งใหญ่ นั่นคือบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่

หลายต่อหลายคนมักบ่นว่าเหนื่อยและหมดกำลังที่จะทำ

ในการเลี้ยงดูพ่อแม่ที่แก่ชรา หรือในขณะที่ท่านกำลังป่วย

การดูแลลูก ดูแลสามีภรรยา บริวารทั้งหลาย

หากเรามองด้วยการมีจิตใจที่มีกุศล

การดูแลและการเลี้ยงดูอุ้มชูนั้น

เป็นการสร้างบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่มาก

การทำบุญกับพ่อแม่ ที่ได้ให้กำเนิดเรามา

หรือไม่ว่าจะเป็นการทำบุญกับคนอื่น หรือสิ่งใดทั้งสิ้นนั้น

ในทางโลกล้วนได้รับการสรรเสริญเป็นอย่างมาก

ในทางธรรมลดได้รับการยกย่อง

การทำบุญกับลูก ด้วยการไม่หวังผลตอบแทน

ทำบุญเต็มที่เท่าที่เราอยากจะทำ

แม้แต่กระทั่งในการเลี้ยงสัตว์เลี้ยง เราคอยให้อาหาร

ดูแลให้ความรัก ให้ความเมตตา

โดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน เพียงแค่เห็นเขาอิ่มและมีความสุข

ตัวเราเองก็มีความสุขมากแล้ว

จิตใจของเราจะมีแต่สูงขึ้น กิเลสนั้นจะแทรกตัวได้ยาก

พ่อแม่เป็นผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ของเรา คือ

๑. เป็นต้นแบบทางกาย คือ การที่เราเกิดมาได้ก็เพราะต้นแบบ คือ มีพ่อกับแม่ถ้าไม่มีท่านทั้งสองเราก็ไม่สามารถเกิดมาได้ อีกทั้งท่านยังเป็นต้นแบบที่ดี คือความเป็นมนุษย์ จึงทำให้เราเกิดมาเป็นมนุษย์ด้วยเพราะถ้าพ่อแม่ของเราเป็นสัตร์ เราก็จะเกิดเป็นสัตว์ด้วย

โชคดีที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้ร่างที่ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลาย เพราะสามารถใช้ความรู้ความสามารถประกอบคุณความดีได้เต็มที่ ทั้งนี้ก็เพราะเรามีพ่อแม่เป็นต้นแบบทางกายให้นั่นเอง

๒. เป็นต้นแบบทางใจ คือ ให้ความอุปการะเลี้ยงดู ฟูมฟัก ทะนุถนอม อบรมสั่งสอน ปลูกฝังกิริยามารยาท ให้ความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมแก่ลูก

พระคุณพ่อแม่เป็นต้นแบบทางกายให้เรา ก็นับว่ามีพระคุณมากแล้ว ยิ่งท่านอบรมเลี้ยงดูเรามา เป็นต้นแบบทางใจให้ด้วย ก็ยิ่งมีพระคุณมากเป็นอเนกอนันต์ พ่อแม่บางคนทำงานหามรุ่ง-หามค่ำ อาบเหงื่อตากน้ำสุดแสนจะเหนื่อย แต่ก็ต้องทนลำบากเพื่อลูก เปรียบดั่งเทียนไข เมื่อเริ่มจุดไฟแล้วเทียนเล่มนั้นจะค่อย ๆ ละลายตังเองลงไปทุกวินาที เทียบบางเล่มยังคงสว่างไสวอยู่มาก เปรียบดั่งพ่อแม่อยู่ในวัยกลางคนแล้ว และเทียนบางเล่มที่ริบหรี่ลงเมื่อถูกลมพัด เปรียบดั่งพ่อแม่กำลังเจ็บไข้ได้ป่วยหรือมีปัญหาในการทำงาน แต่ก็พยายามหอบสังขารไปทำงานหาเช้า-กินค่ำเพื่อลูก แต่เทียนบางเล่มได้ถูกพายุร้ายพัดดับลงเสียแล้ว นั่นหมายถึงชีวิตของท่านทั้งสองได้จากเราไปสู่สุคติแล้ว

ดังนั้น เราผู้ซึ่งเป็นลูกจึง ควรมีความสำนึกในพระคุณอันใหญ่ หลวงนี้โดย การตอบแทน พระคุณ ท่านทั้งสอง เปรียบดั่งหนังสือเล่มนี้หากมีความดีอยู่บ้าง ก็ขอมอบความดีเหล่านี้แด ่คุณพ่อคุณแม่ ่ที่ ่เป็นครู คนแรกของลูก (พรจากพระองค์ใดไม่ประเสริฐเท่าพรจาก พระคุณพ่อ-พระคุณแม่)

(สมเด็จโต พรหมรังสี)

ลูกเอ๋ย…ยามที่พ่อแม่ของเจ้ามีอายุมากขึ้น ย่อมมีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน ความแข็งแรงของร่างกายที่เคยมีก็ลดลง ใจน้อยง่าย ความจำก็เสื่อม ขี้หลงขี้ลืม จิตใจก็หมดความสุขสดชื่น ถึงแม้พวกเจ้าจะคอยเอาใจใส่ดูแลใกล้ชิดสักเพียงใดก็ตาม ก็ไม่อาจช่วยให้พ่อแม่ของเจ้ามีความสุขได้เต็มที่ เพราะพวกเจ้าทุกคนต่างก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เจ้าช่วยท่านให้ได้รับความสุขเพียงการให้กินอยู่หลับนอน อันเป็นความสุขทางกายเท่านั้น แต่จิตใจของท่าน หาได้ร่าเริงสดชื่นผ่องใสไม่ เจ้าจงจำไว้ว่า การให้ความสุขแก่พ่อแม่อย่างแท้จริงก็คือ การให้ธรรมะ ด้วยการสอนหลักธรรมง่ายๆให้พ่อแม่ของเจ้า พาท่านไปทำบุญทำทาน สอนท่านให้รู้จักการปฏิบัติบูชา สวดมนต์ ภาวนา แผ่เมตตา ธรรมะจะอยู่ในจิตใจของพ่อแม่เจ้าทุกภพทุกชาติ ถือว่าเป็นการทดแทนพระคุณที่สูงสุด เจ้าจงจำไว้นะลูกเอ๋ย…

ขอบคุณข้อมูลจาก : ธ.ธรรมรักษ์

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here