“ทิ้งอาชีพครู” มา “รับจ้างซื้อของ” เวลา 1 ปี มีเงินเก็บเกือบ 4 ล้าน

0

“ทิ้งอาชีพครู” มา “รับจ้างซื้อของ” เวลา 1 ปี มีเงินเก็บเกือบ 4 ล้าน

คนเราในทุกวันนี้ ต่างก็ต้องทำงานเพื่อหาเเลี้ยงตัวเองและคนในครอบครัว แต่ถ้าหากว่างานที่เราทำอยู่นั้น ทำแล้วไม่มีความสุขกับงานที่ทำ ทำแล้วรู้สึกกดดันจากหัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน ได้เงินดีจริงแต่ไม่มีความสุข หากมีโอกาสเราก็เลือกทำงานที่มีความสุขด้วยจะดีกว่า

ตัดสินใจลาออกจากอาชีพครู ซึ่งมีเงินเดือนมั่นคงมา 20 ปี เพื่อมา “รับจ้าง” ตระเวนซื้อของให้ชาวบ้าน อาจฟังดูเป็นการตัดสินใจที่ไร้สาระ แต่ปรากฏว่า นี่คือการตัดสินใจที่ “เอ็ด เฮนเนสซี” อดีตครูโรงเรียนมัธยมศึกษาในเมืองโอวีเอโด รัฐฟลอริดา รู้สึกว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิต และทำให้รู้สึกด้วยว่าเขาเดินมาถูกทางแล้ว

ทั้งนี้ จากรายงานข่าวของซีเอ็นเอ็น ที่นำเสนอเรื่องราวของเอ็ด เฮนเนสซี อดีตครูโรงเรียน โอวีเอโด ไฮสคูล เล่าว่า ตั้งแต่เป็นครูสอนหนังสือมา 20 ปี นายเฮนเนสซีเล่าว่า เขาไม่เคยมีรายได้เกินกว่าปีละ 50,000 ดอลลาร์ หรือราว 1,625,000 บาท

และด้วยรายได้จำนวนแค่พออยู่พอกิน ทำให้เฮนเนสซีต้องใช้ชีวิตแบบกระเบียดกระเสียรมาก เพื่อให้แต่ละเดือนสามารถจัดสรรเงินได้อย่างลงตัวในการดูแลปากท้องของตัวเอง และลูกๆ อีก 2 คน แล้วยังมีหนี้ที่กู้มาตอนสมัยเรียนระดับมหาวิทยาลัย ที่ยังต้องผ่อนชำระอยู่อีกจำนวนหนึ่ง

ด้วยฐานะการเงินที่แทบชักหน้าไม่ถึงหลังในแต่ละเดือน ทำให้เฮนเนสซีต้องดิ้นรนหาทางสร้างรายได้เพิ่ม และทำให้เจ้าตัวลองเจียดเวลาว่างไปทำงานเป็นคนรับจ้างซื้อของให้กับเว็บไซต์ “Shipt” ซึ่งเป็นเว็บรับส่งสินค้า ของใช้ประจำวัน

เมื่อปี 2558 แล้วตัวเขาเองก็พยายามจัดระบบ ระเบียบ พัฒนาระบบการทำงานและฐานลูกค้า จนกระทั่งอีก 2 ปีต่อมา คือปี 2560 ทำให้เขามั่นใจว่า เขาจะต้องทำรายได้จากอาชีพนี้ มากกว่าอาชีพครูแน่ๆ เขาจึงตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิตด้วยการลาออกจากอาชีพครูเมื่อปี 2560 เพื่อมาทำอาชีพรับจ้างซื้อของแบบเต็มเวลา

“ผมมีรายได้ปีละกว่า 100,000 ดอลลาร์ หรือราว 3,250,000-3,500,000 บาท ซึ่งมากเป็น 2 เท่าจากรายได้ตอนที่ผมเป็นครู” เฮนเนสซี บอกกับซีเอ็นเอ็น

ทุกวันนี้ เฮนเนสซีซึ่งตื่นมาทำงานด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุข เล่าว่า เขาจะใช้เวลาอยู่ในรถยนต์เป็นส่วนใหญ่เพื่อเสิร์ชหาเส้นทางไปยังซุปเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ เพื่อซื้อของกินของใช้แล้วนำไปส่งให้ลูกค้า

ถึงแม้ว่ากว่า 1 ปีที่ผ่านมา เฮนเนสซีต้องทำงานอย่างไม่มีวันหยุด และยังไม่เคยมีโอกาสหยุดพักร้อนไปเที่ยวที่ไหน แต่เจ้าตัว ก็เล่าว่า การทำงานสัปดาห์ละเกือบ 50-60 ชั่วโมงอยู่ที่บ้าน อยู่บนรถ อยู่บนถนน และจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์มือถือ มันก็ทำให้เขารู้สึกสบายใจ มีความสุขมาก

“มันรู้สึกผ่อนคลาย ผมต้องออกจากบ้าน อยู่นอกบ้านทุกวัน ผมได้เห็นผู้คน และได้เป็นเจ้านายตัวเอง นี่แหละคือสิ่งที่ผมอยากจะเป็น”

ฟังดูเหมือนไม่ยากเลยเนอะ

นี่ล่ะมั้งที่ใครเขาว่า เมื่อไรก็ตามที่เรารู้สึกมีความสุขกับการทำงาน วันเวลาแต่ละวันมันจะผ่านไปแบบชิลชิล ราวกับงานคือส่วนหนึ่งของชีวิต ซึ่งเฮนเนสซี อาจเป็นคนหนึ่งที่โชคดี ที่หาเจอแล้ว

ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : sentangsedtee

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here