เรียนได้เกรด 1.04 คุณไม่ได้ไม่ฉลาดนะ

0

เรียนได้เกรด 1.04 คุณไม่ได้ไม่ฉลาดนะ

เปิดเล่าชีวิต บอย โกสิยพงษ์ ที่ได้ผ่านเรื่องราวในชีวิตต่างๆมามากมาย และได้มีบทความหนึ่งที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการที่เราเรียนแล้วได้เกรดน้อย ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเราไม่ได้ฉลาด แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในการใช้ชีวิตนั่นคือ “การที่เราต้องค้นหาตัวเองให้เจอ”

‘แม่’ คือส่วนเติมเต็มในชีวิต โดย บอย โกสิยพงษ์

“แม่ผมเป็นแม่บ้าน แม่บ้านที่รักลูกมาก ตั้งแต่ผมเกิดมาผมไม่เคยกินผลไม้ที่มีเปลือกหรือมีเมล็ดเลย ตอนเด็กๆ ผมไม่รู้ด้วยว่าองุ่นมันมีเปลือก องุ่นมันมีเมล็ด ทุกวันผมจะได้เอาช้อนตักองุ่นที่แกะแล้ว แช่เย็นอย่างดีแล้วกินเป็นชามๆ เลยฮะ หรืออย่างเงาะผมก็ไม่เคยกินแบบมีเมล็ด ทุกอย่างคือผ่านการผ่าตัดจากแม่มาเรียบร้อยแล้ว และไม่ใช่แค่ผลไม้ แต่อาหารแม่จะเป็นห่วงทุกอย่าง

“ครอบครัวผมเนี่ย ทั้งพ่อและพี่น้องทุกคนเป็นคนฉลาดหมด เรียนหนังสือได้คะแนน 80-90 เปอร์เซ็นต์ แล้วพอโตขึ้นก็ได้ทุน น้องชายผมได้ทุนเรียนฟรีที่อเมริกา เรียนจบด้วยเกียรตินิยม

พี่ชายผมเขาก็ได้เกียรตินิยม พี่สาวผมก็ได้เกียรตินิยมที่ต่างประเทศ มีแค่บอยนี่แหละที่เรียนได้ทุเรศมากๆ คือเรียนรั้งท้ายมาตลอดตั้งแต่เด็ก ทั้งห้องมีนักเรียนอยู่ 45 คน ผมจะผลัดกับเพื่อนอีกคนว่าคราวนี้ใครจะเป็น ‘บ๊วย’ ของห้อง ซึ่งถ้าไม่ใช่มันก็คือผมนี่แหละ

“จนกระทั่งวันหนึ่ง ตอนนั้นผมอยู่ ม.3 อธิการมาบอกว่า บอย ทางโรงเรียนจะต้องเชิญให้บอยออกจากโรงเรียน เพราะว่าคะแนนเฉลี่ยของผมมันอยู่ที่ 1.04 ฉะนั้นบอยเรียนต่อ ม.4 ไม่ได้ ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่าผมไม่มีความสามารถทางการเรียน

“ความจริงผมไม่ใช่คนเกเรเลยนะฮะ ผมตั้งใจท่องหนังสือ ผมฉีกหนังสือเป็นเล่มๆ ออกมาทีละบทเพื่อจะมานั่งอ่านทีละหน้า แต่มันไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เรื่องถึงขนาดที่ว่ากำลังจะเข้าห้องสอบ ผมต้องเอาตามามองมัน เผื่อบทเรียนในหนังสือมันจะจำเข้าไปในตาผม (หัวเราะ) ผมโคตรพยายาม แต่มันก็ทำไม่ได้ งั้นโอเค ออกก็ออก

“แม่ผมบอกว่าโรงเรียนนี้น่าจะไม่เหมาะสำหรับบอยหรอก เขาน่าจะสอนไม่เก่ง เดี๋ยวไปหาโรงเรียนที่มันเหมาะกับบอยดีกว่านะ

“แม่ผมยังบอกอีกว่า “ดีแล้วที่บอยไม่เรียนเก่งแบบพี่น้องคนอื่นๆ เพราะตอนเด็กๆ แม่ไม่ฉลาดมากเลย การบ้านแม่ก็ทำไม่ได้ สอบก็ไม่ได้ ลอกเพื่อนประจำเลย เพราะฉะนั้นแม่ก็จะได้มีบอยเป็นเพื่อนสักคนหนึ่งในบ้านที่เป็นเหมือนแม่ คำพูดของแม่ทำให้เราไม่รู้สึกโดดเดี่ยว รู้สึกว่าไม่ฉลาดเหมือนแม่ก็ดีนะเนี่ย แม่ผมเขาเป็นคนสไตล์นี้”

ทำไม บอย โกสิยพงษ์ ถึง ‘ไม่ฉลาด’

“ตอนนั้นยังไม่รู้ไง โรงเรียนบอกให้เราเลือกเรียนแค่วิทย์กับศิลป์ แต่ความจริงแล้วความถนัดของคนมันสามารถแบ่งได้ตั้ง 8 อย่าง (ทฤษฎีพหุปัญญา หรือ Theory of Multiple Intelligences)

“ทุกวันนี้ผมถึงได้เข้าไปพูดตามโรงเรียนเกี่ยวกับเรื่องนี้แทบทุกเดือนเลยว่า ถ้าลูกคุณไม่ได้เหมาะสมกับศาสตร์ 2 อย่างนี้ นั่นไม่ได้แปลว่าลูกคุณไม่ฉลาด เพราะผมเคยอยู่ในกลุ่มเด็กประเภทนี้มาก่อน แล้วมันก็เป็นปมด้อยกับตัวผมเองมาตลอด โชคดีว่าแม่ผมเขาสนับสนุนผม เข้าใจผม ผมก็เลยได้ค้นพบและทำในสิ่งที่เหมาะกับผม

“พหุปัญญา หมายถึง ความรู้ ความถนัดในตัวมนุษย์ที่แตกต่างกัน บางคนถนัดในเรื่องภาษา บางคนถนัดในเรื่องวิทยาศาสตร์ บางคนถนัดในเรื่องดนตรี บางคนถนัดเรื่องการสื่อสาร เรื่องการออกกำลังกาย ฯลฯ เมื่อทุกคนมีความถนัดไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะเอาสัตว์ทั้งป่าไปสอบด้วย ‘ข้อสอบ’ ชุดเดียวกัน เราจะเอาปลาไปแข่งปีนต้นไม้กับลิงไม่ได้

“ที่ผ่านมาสมัยเด็กๆ ผมอาจจะเคยเป็นปลาที่อยู่ในโรงเรียนซึ่งสอนแค่การปีนต้นไม้กับวิ่งแข่ง ดังนั้นผมจะไม่มีวันประสบความสำเร็จหรือพัฒนาศักยภาพของตัวเองในขณะที่เรียนอยู่ในโรงเรียนนั้นได้ แล้วพอเราเคยอยู่ตรงจุดนี้มาก่อน เราเลยเข้าใจความรู้สึกว่าความห่วยมันเป็นยังไง แต่พอดีแม่เราชมที่เราห่วย เราเลยรอดมาได้ ซึ่งเราก็ไม่แน่ใจว่าแม่คนอื่นจะชมลูกแบบเดียวกันนี้ด้วยหรือเปล่า”

จนถึงวันที่ ‘ค้นพบตัวเอง’

หลังจากลุ่มๆ ดอนๆ คลุกคลานกับการเรียนตามมาตรฐานการศึกษาไท ยมาตลอด จุดพลิกผันครั้งสำคัญในชีวิตบอยก็เกิดขึ้น เมื่อเขาตัดสินใจที่จะเหินฟ้าไปเรียนต่อทางด้านสาขาดนตรีที่มหาวิทยาลัย UCLA (University of California at Los Angeles) แถมยังตั้งใจสมัครเรียนถึง 3 โปรแกรมการสอน คือ Songwriting, Electronics Music และ Music Business

ช่วงเวลานั้นเองที่ บอย โกสิยพงษ์ ได้ค้นพบทิศทางที่เหมาะสมในชีวิต เขาฝึกฝน เรียนรู้ทักษะที่สำคัญของการเป็นนักแต่งเพลง บอยเขียนเล่าไว้ในเพจของตัวเองว่า

“ทั้ง 3 หลักสูตรใช้เวลา 5 ปี ผมมี A- ตัวเดียว ที่เหลือคือ A ล้วนๆ ทั้งหมดนี้ไม่ได้มาจากการตั้งใจเรียนเลย มันมาจากการที่ผมรักมันสุดหัวใจ อยากรู้อยากเห็น อยากเข้าใจไปหมด ผมไม่เคยท่องหนังสือ แต่อ่านมันจนเข้าใจ ผมเพิ่งเข้าใจคำพูดที่พ่อเคยบอกอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรก หัวใจเราอยู่ที่ไหน ทรัพย์สมบัติเราก็อยู่ที่นั่น”

“พ่อคือวีรบุรุษของผม ชนิดที่ว่าผมอยากเป็นเหมือนพ่อแม้กระทั่งลายมือและวิธีพูด”

“ตอนเด็กผมเป็นคนโลกสวยมาก ผมคิดว่าทุกอย่างที่ตัวเองคิดมันทำได้หมดเลย ทำแบบนี้มันต้องดีแน่ๆ ผมคิดแบบนี้กับทุกเรื่อง คือมันไม่ใช่อีโก้นะฮะ แต่เป็นคนไม่ฉลาดมากกว่า (หัวเราะ)”

แล้วถ้าไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ล่ะ…

“ผมก็เชื่อตามที่พ่อบอก พ่อผมสอนว่า “ถ้าเราทำงานอะไรใหญ่ๆ อุปสรรคเข้ามาเนี่ยแปลว่าดีนะบอย เพราะนั่นหมายถึงว่า ถ้าเราผ่านมันไปได้ เดี๋ยวผลลัพธ์มันจะดีขึ้น”

“พ่อมักจะเปรียบเทียบกับต้นไม้ ตอนเขาตัดแต่งต้นไม้ (Trim) พ่อจะบอกว่า ต้นไม้เนี่ย ถ้าผ่านการตัดแต่ง ตอนแรกมันจะโกร๋นเลย ถ้าถามใจต้นไม้ ต้นไม้คงจะบอกว่า มาตัดทำไม เราโกร๋นไปหมดแล้ว ตัดกันแบบนี้แล้วฉันจะอยู่ยังไง แต่ผ่านไปอีกพักหนึ่ง มันจะมีดอก มีผลออกมา แล้วก็จะสวยกว่าเดิม พอฟังพ่อสอนแบบนี้ เราก็จำมาตลอดเลยว่าถ้ามีอุปสรรค นั่นแปลว่าเรากำลังโดน Trim ซึ่งแปลว่าเมื่อเวลาผ่านไปเดี๋ยวผลมันจะต้องสวย ผมคิดแค่นี้เลย ไม่ได้คิดลึกอะไรไปมากกว่านี้

“พ่อผมเป็นวิศวกรที่ทำงานคนเดียวในบริษัทแบบ one man show คือไม่ใช่เพราะพ่ออยากจะโชว์นะ แต่เพราะประหยัด พ่อจะประหยัดเงินทุกอย่าง ทุกบาททุกสตางค์เพื่อเอามาให้ครอบครัว บริษัทพ่อทำงานใหญ่เยอะมาก ธนาคารหรือโรงพยาบาลใหญ่ๆ หลายแห่ง พ่อผมเป็นคนวางระบบไฟฟ้าให้ทั้งสิ้น งานในบริษัทที่ปกติต้องใช้คนทำหลายคน แต่บริษัทพ่อมีพนักงานอยู่คนเดียว พ่อพิมพ์บัญชีเอง เก็บเงินเอง ทุกอย่างทำเองหมด ผมเคยถามว่าทำไมพ่อไม่จ้างคน พ่อผมบอกกลับมาว่า “จะได้เก็บเงินไว้เลี้ยงพวกเราไงล่ะ”

“สมัยก่อนพ่อผมนี่คือความสุดยอดเท่เลยนะครับ พ่อผมเก่งหมดทุกอย่าง เลี้ยงลูกก็เก่ง ทำงานก็เก่ง ซ่อมของก็เก่ง จิตใจก็ดีด้วย พ่อชอบช่วยคนอื่น คือตอนเด็กๆ ผมไปตลาดกับพ่อแทบทุกวัน พวกพ่อค้าแม่ค้าก็ชอบยืมสตางค์พ่อ แล้วพ่อก็ให้เขาเลย ผมถามพ่อว่าแล้วไม่ต้องทวงเงินคืนเหรอ พ่อบอกว่าไม่ต้องหรอก ก็เพราะว่าเขาไม่มี เขาถึงมาขอเรา ถ้าเขามี เขาจะมาขอทำไม

“พ่อผมจะประหยัดในเรื่องที่ไม่ได้จำเป็นต่อชีวิต เช่น เสื้อผ้าก็มักจะชอบใส่เสื้อซ้ำ นาฬิกาก็จะใช้ของที่ถูกมากๆ แต่เขาไม่เคยหวงเงินของเขาเลยกับคนที่ลำบาก เหมือนเขาเกิดมาเพื่อให้คนอื่น ซึ่งการที่เขามีชีวิตอย่างนี้กับคนข้างนอกบ้าน สำหรับผมนี่เป็นจุดที่ผมประทับใจพ่อมากเลยนะครับ”

Learn to live with it เรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิต

อีกจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เมื่อบอยต้องเจอกับช่วงเวลาที่โหดร้ายที่สุดของชีวิต

“ที่ผ่านมาผมมีความสุขในชีวิตอย่างมาก พูดได้เลยว่าผมเป็นคนโคตรโชคดี พระเจ้าอวยพรผมมาก จนกระทั่งถึงช่วงหนึ่งของชีวิตที่ผมแทบบ้า มันคือช่วงเวลาก่อนผมทำอัลบั้ม The Million Ways to Love Part 1 (2547)

“ช่วงนั้นบริษัทเราดังกระฉูดเลย (Bakery Music) ออกเพลงใหม่กันน่าดู ปีหนึ่งผมทำเพลงมากกว่า 300 เพลง แล้วเพลงก็ประสบความสำเร็จเยอะมาก เพลงดังเยอะมาก แต่มันก็ไม่ได้ Fulfill อะไรในหัวใจผม เพราะหลังๆ ผมเริ่มจะแต่งเพลงด้วยสมอง เพราะแต่งเพลงทุกวันจนชิน เหมือนรู้แผนที่หมดแล้วว่าต้องไปทางไหน เหมือนเราไปเที่ยวแต่ที่เดิมๆ เลยไม่สนุก ทั้งที่จริงๆ แล้วการแต่งเพลงมันเหมือนเราไปเที่ยวในที่ใหม่ๆ เดินเข้าไปแล้ว โอ๊ย ตรงนี้สวย ตรงนั้นก็สวย

“ช่วงนั้นเองที่พ่อและแม่ของผมเริ่มไม่สบาย คุณยายไม่สบาย และตลอด 5 ปีนั้น พ่อ, แม่, คุณยาย, พี่ชาย, พี่เขย คนที่ผมรักที่สุดก็เริ่มเสียชีวิตไปปีละคน

“ปีแรก พี่เขยผู้ซึ่งเพิ่งมีลูกคนที่ 2 กับพี่สาวของผมได้เดือนเดียวได้เสียชีวิตลง มันคือช่วงเวลาที่พี่สาวผมก็ยังไม่แข็งแรงพอ ปีต่อมาคือคุณยาย ท่านเป็นหวัดแล้วจากไป ซึ่งไม่เมกเซนส์เลย การจากไปมันง่ายขนาดนี้เลยเหรอ เรารับไม่ได้

“ปีที่ 3 ก็เหมือนกัน พี่ชายอีกคนหนึ่งตอนนั้นเขาอยู่ประเทศบ้านเรา ผมอยู่ที่อเมริกา เพิ่งโทรมาคุยกับผม วันรุ่งขึ้นแม่โทรมาบอกว่าเขาจากไปแล้ว เพราะมีอาการหลับไหล

“ปีที่ 4 คือพ่อของผม เขาเป็นหวัด เข้าโรงพยาบาล แล้ววันรุ่งขึ้นก็จากไปเหมือนกัน ปีต่อมาปีที่ 5 ผมบอกแม่ว่าอย่าไปเลย บอยร้องไห้ไม่ไหวแล้ว บอยเบื่อร้องไห้แล้วอะแม่ มันทนไม่ไหวแล้ว แม่อย่าเพิ่งจากไป อีกสักปีได้ไหม ผมพูดอย่างนั้นเลย ผมขอแม่บ้าๆ บอๆ แบบนี้เลย แต่สุดท้ายแล้วแม่ก็อยู่ต่อไม่ได้

“หลังจากนั้นผมก็บ้าไปเลย ต้องไปหาจิตแพทย์ กินยานอนหลับ กินยาคลายเครียด กินยาแก้ซึมเศร้าเพื่อให้นอน ตื่นขึ้นมาแล้วก็กินยาใหม่เพื่อให้นอนต่อ ทำแบบนี้อยู่เป็นเดือน จนทุกวันนี้ผมก็ยังมีหางของอาการนี้อยู่นะ ทุกวันนี้ผมยังกินยาอยู่เลย

“สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะผมไม่เคยเตรียมตัวมาก่อน ผมเตรียมตัวนะว่าสักวันหนึ่งทุกคนต้องไป ผมเตรียมตัวที่จะทำดีกับทุกคนที่ผมรัก แล้วก็ให้เวลากับพวกเขาอย่างเต็มที่ที่สุด แต่ผมยอมรับไม่ได้ ปล่อยไม่เป็น เมื่อเวลาที่พวกเขาไป มันเลยเป็นที่มาของเพลง Live and Learn”

ชีวิตที่เรียนรู้ว่าต้อง Live and Learn

“ผมเขียนเพลงนี้หลังจากพ่อจากไป แล้วผมก็ไปหาจิตแพทย์ กินยานอนหลับ แล้วตื่นขึ้นมาเพื่อจะกินยานอนหลับ เป็นอย่างนี้อยู่ประมาณหนึ่งเดือน จนกระทั่งตุ้ย (วรกัญญา โกสิยพงษ์) ภรรยามาบอกกับผมว่า ต้องลุกขึ้นสู้ ยังไงบอยก็ยังมีเขา มีลูก มีแม่อยู่นะ บอยจะเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้

“พอฟังตุ้ยบอกผมก็ลุกขึ้นมา แต่ผมไม่รู้จะสู้ยังไง เพราะพ่อคือหลักของชีวิตผม ที่ผ่านมาไม่ว่าผมมีปัญหาอะไร ผมไปคุยกับพ่อ แป๊บเดียวผมหายเลย ถ้าพ่อพูดว่าให้คิดอย่างนี้ ผมก็จะคิดตามนี้ ผมจะเชื่อตามนั้นเลย ผมเป็นคนแบบนี้มาตลอดชีวิต แต่พอพ่อไม่อยู่แล้ว ผมเลยไม่รู้จะทำยังไง พ่อไม่ได้บอกไว้นี่ว่าเมื่อพ่อจากไปแล้วผมต้องคิดยังไง ผมเลยคิดกับเรื่องนี้ไม่เป็น

“แต่หลังจากฟังตุ้ยบอกให้ลุกขึ้นสู้ ผมเลยคิดว่ายังไงเราต้องสู้ เมียเราก็ยังอยู่ ลูกเราก็ยังอยู่ แม่เราก็ยังอยู่ ผมเลยย้อนกลับมาคิดว่าพ่อสอนอะไรกับเราไว้บ้างวะ สิ่งที่พ่อพูดประจำเลยคือ Learn to live with it เรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิต

“สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้คือไม่มีพ่อ ถ้างั้นต้องอยู่กับมันแบบไม่มีพ่อ แล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุดด้วย นี่คือสิ่งที่พ่อเหมือนกระซิบในใจผม ผมเลยแต่งเพลงนี้ให้ตัวเองฟัง แต่งเสร็จฟังไปร้องไห้ไปจนกระทั่งเข้าใจแล้วพ่อ โอเค บอยจะอยู่แบบไม่มีพ่อ แต่จะอยู่ให้มันดีที่สุดในแบบที่พ่อสอน ผมก็เลยรอดมาได้”

ขอบคุณข้อมูลจาก : คุณบอย โกสิยพงษ์

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here