วิ่งเปลี่ยนชีวิต ลดน้ำหนัก 40 กก. จนอาการหายดี

0

วิ่งเปลี่ยนชีวิต ลดน้ำหนัก 40 กก. จนอาการหายดี

ใครที่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องความอ้วนอยู่และไม่มีกำลังใจที่จะลด ในวันนี้เราได้มีแรงบันดาลใจดีๆมาฝากเพื่อนๆทุกๆท่านกัน เป็นเรื่องราวหนึ่งของคุณจอยที่เธอได้ใช้วิธีในการลดน้ำหนักด้วยการวิ่งพร้อมกับสู้กับโรคที่เธอเป็น เราตามมาดูกันเลยว่าผลที่เธอได้ออกมานั้นจะเป็นอย่างไร

เธอคนนี้เคยมีน้ำหนักที่มากอ้วนถึงเกือบร้อยโล แถมยังเป็นโรคเบาหวาน โรคไขมัน ความดัน มีหัวใจที่เต้นผิดจังหวะ อีกทั้งเธอยังมีการใช้ชีวิตที่ยากลำบาก เพราะต้องกินยาวันละ 16 เม็ดการใช้ชีวิตของเธอในแต่ละวันนั้นลำบากกว่าคนอื่นๆเขา เพราะนอกจากต้องแบกรักน้ำหนักที่ตัวเองมีถึงเกือบร้อยโลอีกทั้งยังต้องกินยาทุกๆวัน

จนมาวันหนึ่งที่รู้สึกว่าร่างกายของเธอไม่สามารถไปต่อได้แล้ว โรคต่างๆที่รุมเร้า อีกทั้งร่างกายที่ช้ำไปหมด มีน้ำตาลในโลหิตสูง มีความดันสูงอีกทั้งไขมันยังขึ้นสูงอีกด้วย ไม่มีอะไรดีเลย จนมาวันหนึ่งเธอเริ่มมีความคิดที่จะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง และสามีของเธอได้บอกว่าถ้าหากว่าเรายังอยากอยู่ด้วยกันนานๆใช้ชีวิตคู่ไปด้วยกันนานๆ เรามาเริ่มเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่กันเถอะมาสู้ไปด้วยกัน ถึงแม้ว่ามันจะยากแต่เราก็ต้องทำมันให้ได้ ดีกว่าที่เราไม่ทำอะไรเลยแม้แต่อย่างดี

เราเริ่มต้นด้วยวิธีการคุมอาหารในช่วง 2 เดือนแรก ลดเกือบทุกมื้อ อาหารหวาน อาหารมันอาหารที่มีรสชาติเค็ม เลี่ยงได้คือเลี่ยงเลย และในเวลาต่อมาก็ค่อยๆปรับ โดยเริ่มจากการออกกำลังกายที่มาเป็นตัวช่วยเสริม เริ่มด้วยการเดิน จอยวิ่งอยู่เป็นเดือนจนน้ำหนักเริ่มลงมาเรื่อยๆจาก 90-80-75 กก.

แล้วน้ำหนักก็หยุดนิ่งเกือบเดือน ทำให้จอยท้อมากๆ ผมเลยบอกให้จอยลองเริ่มวิ่ง ซึ่งมันยากมากๆ วันแรกวิ่งได้แค่ 100 เมตรก็ท้อ เหนื่อย หายใจไม่ทัน ปวดเข่าอีก ก็เลยหยุดวิ่ง เมื่อน้ำหนักไม่ลง ก็ต้องเปลี่ยนกิจกรรม ที่จอยชอบแทนเพื่อจะดีขึ้น

เลยไปเต้นแอโรบิกแทน จอยเต้นจนน้ำหนักตัวลดลงมาอีกจนถึง 70 กก.คราวนี้กำลังใจมาเต็มเปี่ยม ผมเลยชวนกลับมาวิ่งอีกครั้ง ครั้งนี้วิ่งไกลขึ้น วิ่งได้ถึง 1.5 กม. และก็วิ่งมาเรื่อยๆ จาก 1 เป็น 2 กม. เพิ่มเรื่อยๆ ตามกำลังที่พอไหว จนน้ำหนักลดลงอีกจนถึงเลข 6 ซึ่งจอยไม่เคยไปถึงเลข 6 เลย ตั้งแต่ป่วยเบาหวาน ทำให้มีกำลังใจมากขึ้น พร้อมไปต่อสุดๆ กลายเป็นชอบวิ่งมากๆ วิ่งเช้า-วิ่งเย็น คุมอาหารควบคู่ไปด้วย จนเปลี่ยนวิธีชีวิตไปเลยก็ได้

พอถึงเวลาไปหาหมดตามนัด หมอก็เริ่มลดยาลงเรื่อยๆ กำลังใจมันก็มาเรื่อยๆ จนรู้สึกว่า “เราใช้ร่างกายมาหนักนานเท่าไหร่แล้ว ร่างกายเราต้องทำนูนทำนี่มาตลอด แต่เราไม่เคยรักษาฟื้นฟูเลย” จนถึงวันที่ร่างกายไม่ไหวจะไปต่อ สารพัดโรคก็พร้อมจะเข้ามารุมเร้าตลอดเวลา ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะเปลี่ยน หันมารักสุขภาพตัวเอง ดูแลตัวเอง ก่อนที่มันจะสายเกินไป มาบอกรักตัวเองด้วยการออกกำลังกายและคุมอาหารกันเถอะ

วันนี้เป็นวันที่ผมรู้สึกดีใจจนบอกไม่ถูก ไม่รู้จะเอ่ยคำใดออกมาจริงๆ กับสิ่งที่หมอบอกผมกับจอย เป็นการหาหมอที่คุ้มค่า คุ้มเวลาที่สุด หัวใจมันพองโต ตื่นเต้นไปหมด เมื่อได้ยินหมอพูดมาประโยคนึงว่า

“ตั้งแต่หมอตรวจคนไข้มาถึงทุกวันนี้ มีแค่ 10 คน ที่ทำได้ รักษาโรคให้หายได้ด้วยตัวเอง ค่าทุกอย่างปกติมากๆ ดีขึ้นทั้งน้ำหนัก ทั้งค่าต่างๆ ลดลง เพราะฉะนั้น คุณจอยไม่ต้องกินยาใดๆ อีกต่อไปแล้ว คุณหายเป็นปกติด้วยพฤติกรรมตัวเอง” ขอบคุณคำแนะนำดีๆ และความรู้ต่างๆ จากคุณหมอ อรรถสิทธ์ โนวังหาร ขอบคุณจากใจเราสองคน

1 ปี 5 เดือน มันช่างคุ้มค่าเป็นที่สุด น้ำหนักจอยลดมาจาก 90 กก. ตอนนี้เหลือ 51 กก. รูปร่างสมส่วน เอวเดิม 40 นิ้ว ทุกวันนี้ เอว 26 นิ้ว เหมือนได้ชีวิตใหม่ มีความสุขที่สุดจริงๆ รักใครให้ชวนออกกำลังกายนะครับ

แรงบันดาจใจของคนขี้โรค ผ่านเรื่องราวบนเหรียญ

ทุกอย่างไม่มีคำว่าสายถ้าเริ่มลงมือทำ ก้าวแรกคือก้าวที่สำคัญ ถ้าใจพร้อมร่างกายมก็พยายามจนได้ ไม่เสียดายเวลาและเงินที่ลงกิจกรรมงานวิ่งต่างๆเลย เพราะผลของมันชัดเจนมาก หนึ่งปีที่ผ่านมาทำให้รู้ว่า กำแพงบ้านฝาบ้านจะไม่มีที่แขวนเหรียญแล้ว ถ้วยรางวัลที่ได้อาจไม่ใช่งานใหญ่โตหรืองานที่มีนักวิ่งแถวหน้า แต่ก็เป็นงานที่ทำให้มีกำลังใจในการก้าวต่อไป เราจะไม่หยุด

ขอบคุณข้อมูลจาก : วิ่งหนีโรค, Chanalong Wongdaeng, ขนิษฐา จันทร์ศิริ MThai

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here