รักแท้แค่ 4พัน ก็แต่งได้ ก้อง ห้วยไร่ ควง เบล แต่งงานตามประเพณีอีสาน

0

รักแท้แค่ 4พัน ก็แต่งได้ ก้อง ห้วยไร่ ควง เบล แต่งงานตามประเพณีอีสาน

รักแท้ไม่ต้องใช้เงินแพงก็ได้ สำหรับคุณก้อง ห้วยไร่ ได้ควงคู่แต่งงานกับคุณเบล ตามประเพณีชาวอีสานแบบเรียบง่ายโดยใช้งบแค่ 4,000 บาท

เรียกได้ว่าเป็นที่ฮือฮาสุดๆในช่วงนี้ สำหรับนักร้องลูกทุ่งชื่อดังอย่างคุณก้อง ห้วยไร่ หรือ ก้องหล้า ยอดจำปา กับแฟนสาวหมอลำ เบล ขนิษฐา

ทิศทางล่าสุดในแต่งงานผูกข้อไม้ข้อมือกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตามประเพณีของชาวอีสาน พร้อมทั้งจดทะเบียนสมรส

และในตอนนี้คุณเบลได้เปลี่ยนไปใช้นามสกุล ยอดจำปา ของหนุ่มก้องห้วยไร่เรียบร้อยแล้ว

โดยทางล่าสุดนั้นคุณหนุ่มก้อง ห้วยไร่ ได้โพสต์ภาพบรรยากาศ พิธีงานแต่งงานพร้อมระบุได้ว่า

“ขอโทษที่ไม่ได้ชวนนะครับ ผมกับเบลได้เข้าพิธีแต่งงานกันตามประเพณีอีสาน โดยความยินยอมของพ่อแม่ทั้ง 2 ฝ่าย โดยมีเฮีย โน้ส อุดม เป็นประธานงานแต่ง และอยู่กินฉันสามีภรรยา เกือบ 2 ปีแล้วครับ พร้อมจดทะเบียนสมรส ถ้าใครทำงานเกี่ยวกับเอกสารจะเห็นว่าเบล มีชื่อว่า นางขนิษฐา ยอดจำปา จึงเรียนมาเพื่อทราบ”

ด้าน หนุ่ม โน้ส อุดม ประธานในพิธีแต่งงาน ได้เปิดเผยในเดี่ยว 12 ว่า ได้สอบถามทางเจ้าภาพว่าใช้งบประมาณในงานแต่งไปเท่าไหร่ ได้คำตอบว่า ใช้งบไปประมาณ 4,000 บาท เท่านั้น

ทำเอาแฟนๆ ช็อคกันเป็นแถว เมื่อนักร้องลูกทุ่งคนดัง ก้อง ห้วยไร่ ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว ยอมรับว่าได้แต่งงานกับแฟนสาว เบล ขนิษฐา ไปเรียบร้อยแล้ว

ที่มาของเพลง ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน

ก่อนหน้านี้จะเป็นที่รู้จักกันในวงหมอลำ คนอีสาน แต่หลังจาก ไข่มุก เดอะวอยซ์ นำมาร้องประกวดก็ทำให้เพลงนี้เป็นที่รู้จักของทุกภาค ส่วนเรื่องที่มีคนสงสัยว่าน้องไขมุกร้องผิดจังหวะหรือเปล่านั้น ผมก็ได้ไปยืนยันว่าน้องไข่มุกร้องถูกจังหวะแล้ว แต่ผมเป็นฝ่ายที่ร้องไม่ตรงจังหวะเอง เพราะเป็นสไตล์ส่วนตัว พอเห็นว่ามีคนนำเพลงไปร้องก็รู้สึกภูมิใจ” ก้อง ห้วยไร่ กล่าว

ก้อง ห้วยไร่ เล่าว่า ตอนที่แต่งเพลงนี้ไม่คิดว่าจะเป็นที่รู้จัก เพราะแต่งมาจากชีวิตจริงของตนเอง โดยเป็นเรื่องของเด็กบ้านนอกคนหนึ่งที่เดินทางเข้ากรุงเทพฯ แล้วมาพบรักกับคนอีสานด้วยกันและสัญญากันว่าจะไม่ทิ้งกันแม้จะเจออุปสรรคเข้ามา แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ตนทำงานเป็นพีอาร์สถานความงาม ต้องออกต่างจังหวัดตลอดไม่ค่อยได้อยู่กรุงเทพฯ พอกลับมาผู้หญิงคนนั้นก็บอกว่ามีคนใหม่แล้ว ทำให้ตนอยากถ่ายทอดความรู้สึกตอนนั้นให้เขาได้ยิน จึงเขียนเป็นกลอนก่อนแล้วทิ้งไว้ หลังจากนั้นชีวิตตนก็เหมือนคนเร่ร่อน เพราะรู้สึกว่าไม่เจอใครและได้ลาออกจากที่ทำงาน ทั้งไม่มีงานและไม่มีเงิน เป็นแบบนี้ประมาณเกือบ 6 เดือน ประทังชีวิตด้วยการมาเล่นกีตาร์ข้างถนน ขอร้องเพลงตามร้านหมูกระทะ

ประวัติ ก้อง ห้วยไร่ เส้นทางชีวิตของเจ้าของเพลงดัง ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน

“จนกระทั่งวันหนึ่งผมได้ไปนั่งดีดกีตาร์แถวสนามราชมังคลากีฬาสถานและวันนั้นมีคอนเสิร์ตของพี่ตูน บอดี้สแลม ซึ่งผมรู้จักเขาแต่เพียงเพลงที่กระแทกแรง ๆ แต่พอฟังแล้วมีอยู่เพลงหนึ่งที่มีเสียงเปียโน ในเพลง ทางกลับบ้าน เนื้อหาประมาณว่า ถ้าคนเราผิดพลาด รู้สึกท้อแล้วคิดถึงบ้าน ทำไมไม่กลับบ้าน ซึ่งตรงกับผมที่โกหกที่บ้านตลอดว่าตัวเองสบายดี พอฟังเพลงนี้แล้วผมก็เดินทางกลับบ้าน พอเจอพ่อก็เข้ามากอดเราแล้วบอกว่าอย่าไปไหนอีกเลย หลังจากอยู่บ้านก็ได้ฟังแม่สวดบทสวดสรภัญญะ ทำให้คิดได้ว่าถ้ากลอนของเรากลายเป็นเพลงจะเป็นอย่างไร จึงแต่งเป็นเพลงแล้วอัดวิดีโอลงเฟซบุ๊กก็ได้เพียง 7 ไลค์ และ 1 คอมเม้นท์มาแสดงความคิดเห็นว่า กาก แต่เราก็ไม่ท้อ” ก้อง ห้วยไร่ กล่าว

ก้อง ห้วยไร่ เล่าต่อว่า จนวันหนึ่งได้ไปเจอกับพี่กบ เจ้าของค่ายซาวด์มีแฮง เรคคอร์ด หน้าเวทีหมอลำ ก็ได้ชวนมาทำเพลงเป็นอีสานพื้นบ้านโบราณจนกลายมาเป็นนักร้อง โดยไม่สนว่าจะมีคนเข้าใจภาษาของเราไหม จากนั้นพี่กบก็เลยตกลงกันว่าจะถ่ายมิวสิควิดีโอ ก็ได้เรียกน้อง ๆ นักแสดงมาถ่ายทำที่บ้านเกิดผมโดยบอกว่าไม่มีค่าตอบแทนให้นะ ซึ่งน้อง ๆ และผู้กำกับ ก็ยินดีมาช่วย ระหว่างถ่ายทำทั้งกองถ่ายมีกล้องเพียงตัวเดียว ถ่ายกันตามมีตามเกิด จนตอนนี้มียอดวิวหลายล้านวิวในเวลาไม่นานทำให้มีรายการต่าง ๆ ติดต่อเข้ามาหาบอกว่าเพลงของเราเป็นเพลงดังและมีการแชร์ต่อกันไปอย่างมากมาย

เปิดเส้นทางชีวิต ก้อง ห้วยไร่ เจ้าของเพลง ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน

“ในตอนแรกผมยังปรับตัวไม่ทันและทุกวันนี้ผมยังถามตัวเองตลอดว่านี่เป็นตัวเราจริง ๆ หรือเปล่า”

นอกจากนี้ ก้อง ห้วยไร่ ได้เผยว่า ก่อนมาเป็นนักร้อง ตอนเด็ก ๆ เคยคิดว่าอยากเป็นดาราหรือไม่ก็นักฟุตบอลทีมชาติ จนวันหนึ่งไปเห็นป้ายรับสมัครงานที่หน้าศูนย์บริการความงาม เขียนว่า เงินเดือน 15,000 บาท ซึ่งตนเองก็คิดว่าเยอะจังแต่เป็นงานที่ต้องใช้รูปร่างหน้าตา พอเดินเข้าไปคนที่รับสมัครก็มองเราหัวจรดเท้าแล้วบอกตรง ๆ ว่าหน้าตาของตนแย่มาก ทำให้ตนขอทำงานอื่นซึ่งเป็นงานยกของแทน เมื่อเข้าทำงานแล้วก็มีอยู่ครั้งหนึ่งได้ไปออกงานที่บ้านเกิด จ.สกลนคร ซึ่งเป็นวันที่แดดร้อนมาก บรรดาพวก MC พริตตี้ผิวดี ๆ ก็ทนไม่ไหวเข้าไปหลบแดด เหลือแต่ตนที่ต้องเก็บลำโพง เครื่องเสียงต่าง ๆ ตนจึงเข้าไปหยิบไมโครโฟนร้องเพลงหมอรำบ้านเกิดพร้อมพูดอีสานคล่อง ที่สำคัญคือตนทนแดดทำให้คนจัดงานเลือกตนเป็นพีอาร์

ขอขอบคุณ : konglha_30 ,ข่าวสด ไทยโพส, kapook

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here