เปิดเรื่องราวชีวิต “สายเชีย” จากคนไร้งาน ไม่มีเงิน สู่นักธุรกิจที่ดิน 600 ไร่

0

เปิดเรื่องราวชีวิต “สายเชีย” จากคนไร้งาน ไม่มีเงิน สู่นักธุรกิจที่ดิน 600 ไร่

เชื่อว่าหลายๆคนคงจะยังนึกไม่ออกว่าเขาคนนี้เป็นใคร “สายเชีย” ที่จากคนไร้งาน ฐานะยากจน ไม่มีเงินใช้ แต่เขาคนนี้เป็นผันตัวเองมาสู่นักธุริกิจที่มีที่ดินรวมกว่า 600 ไร่ “สายเชีย” กับเจ้าของวลีเด็ดโฆษณา “จน เครียด กินเ ห ล้ า” คุ้นหน้าคุ้นตากันแล้วใช่ไหมล่ะค่ะ กับคำพูดประโยคนี้

เขาได้ออกมาเล่าเรื่องราวชีวิต กว่าจะสุขสบายได้จนถึงในทุกวันนี้เขาต้องผ่านพ้นอะไรมาบ้าง ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่ใครหลายๆคนคิด ต้องผ่านความยากลำบากที่หลายคนนึกไม่ถึง ทั้งขุดส้วมเพื่อแลกเงินให้ลูกเป็นค่าเทอมไปเรียน งานหลายอย่างที่เขาต้องทำ แลกทั้งความเหน็ดเหนื่อยมานับไม่ถ้วน แต่ชีวิตก็พลิกผันได้มาเป็นสตันท์แมนจนมีชื่อเสียงได้โกอินเตอร์เล่นหนังฮอลลีวูดประกบดาราดัง

โดยสตันท์แมน ได้มาเปิดใจเล่าเรื่องราวของตัวเองที่ผ่านมาในรายการ “ยิ่งศักดิ์ ยิ่งแซ่บ” ที่มีอาจารย์ยิ่งศักดิ์ ทำหน้าที่เป็นพิธีกรดำเนินรายการ ผมได้เริ่มเล่นเป็นตัวประกอบตั้งแต่ พ.ศ.2529 ส่วนงานที่สร้างชื่อให้เป็นที่รู้จักก็คือ โฆษณา “จน เครียด กินเ ห ล้ า” เป็นโฆษณาที่ได้รับรางวัลที่คานส์ ออนแอร์ที่เขมร ลาว เวลาไปที่นั่นก็มีคนรู้จักเรา

ได้เล่นประกบคู่กับ “แองเจลินา โจลี” เป็นหนังที่ฉายต่างประเทศ ส่วนฉากนี้ถ่ายที่เคนยา คือก่อนหน้านี้ผมเคยเล่นหนังฝรั่ง เป็นตัวประกอบที่เป็นสตันท์แมน มีบทบาทหน่อย ผมภูมิใจที่ได้ร่วมงานกับนักแสดงระดับโลก เพราะว่าผมเป็นลูกชาวนา เพราะชีวิตไม่เคยคิดว่าจะได้ขึ้นเครื่องบินด้วยซ้ำ

สตันท์แมนกับสแตนด์อินต่างกัน เพราะสแตนด์อินต้องเล่นแทน แต่สตันท์แมนก็เล่นเป็นตัวเองก็จะเจ็บๆ หน่อย มันมีความเสี่ยงสูง อุปกรณ์การเซฟก็ไม่มีนำ เพราะต้องซ้อมกันล่วงหน้าเป็นเดือนๆ แต่ก็เคยหล่นสลิงอยู่ครั้งนึง เป็นหนังไท ย สูงประมาณ 5-6 เมตร เป็นฉากมอเตอร์ไซค์ชนขอนไม้ก็หล่นกระแทกพื้น นอนพักรักษาตัวอยู่ 1 เดือนที่บ้าน ถามว่ากลัวพิการมั้ย มันไม่มีทางเลือกมาก

ถามว่าทำไมหน้าตาอย่างผมถึงได้เล่นหนังโกอินเตอร์ เพราะว่าผมมีความจริงจังกับงาน ทำงานให้เต็มร้อย และทำให้ดีที่สุด ถามว่าเพื่อนๆ สตันท์แมนอิจฉามั้ยที่เราได้โกอินเตอร์ ทุกคนรักกัน เพราะทำงานเป็นตัวประกอบประกบคนดัง หลายคนก็คิดว่าค่าตัวผมต้องแพง เลยทำให้ผมอดอยากมากเลย ก็ตกงานไป หนังไท ยไม่ค่อยจ้างเท่าไร

ตอนนี้ได้ผันตัวเองไปเป็นพ่อค้าขายที่ดินไปกู้เงินมาแล้วเอามาแบ่งขายตารางวาละ 3,500 คือผมไม่ได้มีความรู้เรื่องธุรกิจหรอก แต่ว่ามีคนที่มีความรู้ รุ่นน้องที่เค้าเก่งผมก็มาทำงานกับเค้า ตอนนี้จับธุรกิจตัวนี้มาปีกว่าเอง ไม่เคยโดนโกง ใครไม่ซื้อก็มาเอาเงินคืน เพราะเราจะได้ขายต่อ เพราะที่ดิน นับวันยิ่งราคาขึ้น

ถามว่าเอาดีทางด้านธุรกิจแล้วจะเลิกแสดงมั้ย คงเลิกไม่ได้หรอก มันเข้าเส้นแล้ว ยังชอบการแสดง แต่งานก็ลดลงเยอะ ยิ่งต่างประเทศไม่ค่อยมี จะเป็นหนัง เป็นละครที่เข้ามาแทน

ตอนนั้นตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯ ตอนอายุ 18 มากับเพื่อน 2 คน ก่อนที่จะมา ตอนนั้นย้ายไปอยู่กำแพงเพชร เช่าที่นา 50 ไร่ คิดว่าจะมีข้าวกิน ทำไปจนข้าวเหลืองทั้งทุ่ง มีความหวัง แต่ฝนดันตก 1 อาทิตย์ ก็เลยท้อแท้ ตอนนั้นมีต้นทุนแค่ร่างกายของตัวเอง อยากจะมาชกมวยที่กรุงเทพฯ

แต่วุฒิการศึกษาอะไรก็ไม่มี ม.3 ก็ไม่จบ นั่งรถไฟมามีเงินติดตัวมา 300 บาท เดินจากหัวลำโพงไปหัวตะเข้ ไม่กล้านั่งรถเมล์เพราะไม่รู้ว่ามันราคาเท่าไร เดินประมาณ 4-5 ชั่วโมง ไปแล้วก็ไม่เจอเพื่อน ก็เดินกลับมาพระโขนงไปปากน้ำ ไปหาพี่ชายเพราะพี่ชายตาบอด ไปอยู่ดูแลคนพิการก่อน

และก็ได้ทำงานก่อสร้างควบคู่ไปด้วย อยากจะทำงานโรงงาน แต่ไม่มีคนรับ ไปตระเวนสมัครงานจนตังค์หมด ต้องไปอาศัยนอนที่วัดและขอข้าวที่วัดกินด้วย และขอเงินหลวงพ่อกลับ ตอนนั้นลำบากมาก แต่ก็เคยลำบากกว่านั้นมาแล้ว ชีวิตเคยต้องหาปลา หาหน่อไม้ไปแลกข้าวกิน วันนี้ชีวิตดีกว่าวันเก่าๆ เยอะ มีครบทุกอย่างแล้ว แต่ผมเป็นคนไม่ค่อยวัตถุมาก ความจนมันสอนเราหลายๆอย่าง

สมัยเด็กๆ ครอบครัวยากจนมาก ไม่มีข้าวกิน มีพี่น้องหลายคน จนไม่มีค่าเทอมไปโรงเรียน รองเท้าก็ไม่มีใส่ไปโรงเรียน รองเท้า เสื้อผ้าต้องรอบริจาคในทุกๆ ปี เค้าจะคัดเด็กยากจนเพื่อให้ได้รับสิทธิ์นี้ ไม่ต้องพยายามทำให้จนเพราะว่าเราจนจริงๆ ลำบากมากถึงขั้นต้องไปขุดส้วม เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม

เพราะเป็นคนที่อยากจะไปเรียนหนังสือ เพราะตอนเด็กๆ พ่อจะเล่าให้ฟังว่ามีญาติเป็นทนายความ ว่าความเก่งมาก ชนะคดีเยอะ พอได้ฟังก็รู้ว่าคนมีความรู้มันมีเกียรตินะ ดูมีหน้ามีตา และทำให้วงศ์ตระกูลดูดี เลยทำให้อยากเรียน เพราะคิดว่าสิ่งเดียวที่จะทำให้เรามีได้นั่นคือการศึกษา และบ้านเราไม่มีคนได้เรียนหนังสือ

พอไม่มีค่าเทอมครูก็เลยให้ไปขุดส้วม แลกกับค่าเทอม ก็ขุดไป 10 กว่าห้อง ขุดอยู่เกือบเดือน เพราะเป็นเด็กยากจนเราก็ไม่ได้คิดหรอกว่ามันลำบาก เป็นเรื่องธรรมดา ถามว่าอายเพื่อนมั้ยที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ มันอายไม่ได้ หมดสิทธิ์ที่จะอาย สมัยเรียนก็ไม่มีข้าวกลางวันกิน ต้องหนีไปอยู่ห้องสมุด เพื่อนนั่งกินข้าว จะไปนั่งมองเพื่อนกิน เดี๋ยวมันก็จะหิวตามเพื่อน

แม้จะลำบากแค่ไหนก็ไม่เคยคิดหนีออกจากบ้านเอาตัวรอดคนเดียว เพราะเราถูกสอนมาให้รักพ่อแม่ เป็นห่วงพ่อแม่ ก็อยากให้เค้าสบาย ไปรับจ้างก็ไม่เคยเอาค่าจ้าง ให้แม่หมด เวลาอยากดูหนังก็ไปมุดผ้าดูเอา ผมเลี้ยงพ่อแม่จนกระทั่งท่านเสียชีวิต แม่ยายด้วยเราก็ดูแล

สำหรับชีวิตครอบครัวก็แยกย้ายกัน เพราะไม่ค่อยมีเวลาให้เค้า ผมเป็นคนโรแมนติกนะ รักครอบครัว แต่คิดแค่ว่าจะทำอย่างไรให้ครอบครัวมั่นคง ต่างคนต่างทำหน้าที่ คิดง่ายไปก็เลยทำให้มันขาดความใกล้ชิด เค้าก็ไปหาคนใกล้ชิดคนอื่น มีลูก 3 คน ลูกสาวโตเป็นหนุ่ม ส่วนลูกชายโตเป็นสาวแล้ว

ถามว่าเหนื่อยมั้ยที่ต้องเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว เหนื่อยครับ แต่ต้องทนต้องรับผิดชอบความยากของตัวเอง ก็ต้องเลี้ยงเค้าให้ดีที่สุด ตอนนี้ก็มีคนใหม่เข้ามาก็คุยๆ กันอยู่ แต่คงไม่แต่งงาน…

ขอบคุณข้อมูลจาก : สายเชีย , clipmundet

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here