ถ้ายังรักตัวเอง แนะนำให้อ่านเถอะครับ (ทุกคนละเลย)

0

ถ้ายังรักตัวเอง แนะนำให้อ่านเถอะครับ (ทุกคนละเลย)

แนะนำให้ทุกคนได้อ่าน เพราะเป็นประโยชน์สำหรับตัวเราเองที่ไม่มีใครสามารถทำให้เราได้นอกจากตัวเราเองทั้งนั้น โภชนาการเพื่อสุขภาพ ที่เชื่อว่าหลายคนละเลยและไม่เคยได้รู้ ว่าถ้าหากว่าเราไม่เลือกกินจะส่งผลต่อร่างกายของเรามากขนาดนี้เชียวหรอ และถ้าหากว่าเราเลือกกินร่างกายของเราจะเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้เชียว

จิบน้ำร้อน บ่อยๆ = สามารถช่วยในการปรับสมดุลย์ ปรับความดันโลหิต อาการเบาหวาน ต้อที่ตา ไต ได้เป็นอย่างดี

จิบน้ำร้อน = จิบ 1 ถ้วยกาแฟ หรือในปริมาณ 250 cc ก่อนอาหาร เพื่อเป็นการเผาผลาญ ช่วยลดความอ้วนได้ดี

การดื่มน้ำเย็นครั้งละมาก ๆ = ส่งผลทำให้น้ำซึมเข้าสู้ภายในสมองของเรา จะทำให้เกิดอาการภาวะสมองบวมน้ำได้

เบาหวาน = กิน น้ำตาลธรรมชาติได้ น้ำตาลฟรุตโตส, น้ำตาลปี๊ป (น้ำตาลปึก), โอวทึ้ง, น้ำผึ้ง หยุด น้ำตาลกรวด, น้ำตาลทรายแดง, น้ำตาลทราย, ซูโครส

น้ำตาลทราย/น้ำตาลกรวด = สะสมที่บริเวณตับเป็นก้อนไขมัน ก่อให้เกิดภาวะไตรกลีเซอร์ไรด์ สำหรับน้ำตาลที่ฟอกขาวจะใช้สารคลอลีน ซึ่งมีสารก่อมะเร็ง

แกนสับปะรด = มีสารบอบิเรน ลดการเกิดมะเร็งปากมดลูก โดยให้ดูดแต่น้ำ แล้วคายกากทิ้ง

ทุเรียน = มี Anti – Oxidant, กำมะถัน (งด ข้าว) ช่วยลดมะเร็ง, ลดคลอเรสเตอรอล, ลดอ้วน, ลดไขมัน, ชะลอวัยได้ดี

น้ำแตงโม = บำรุงโลหิต, ละลายลิ่มโลหิต ช่วยรักษาอาการมือเท้าชา

กล้วยไข่ = ช่วยหยุดผมร่วง, ป้องกันอัลไซเมอร์, บำรุงสมอง, บำรุงตับ ไต, ป้องกันมะเร็ง, บำรุงกระดูก, บำรุงสายตา, รักษา Office Syndrome

กล้วยน้ำว้า = วันละ 2 ลูก เหมือนๆ กล้วยหักมุก ปิ้งไฟทั้งเปลือก ลดไข้, ลดเจ็บคอ, บำรุงตับ, รักษาเบาหวาน, แก้ทอนซิลอักเสบ

กล้วยหอม = (กล้วยเล็บมือนาง) 3 ผล / สัปดาห์ มีโปแทสเซียม ป้องกันโรคพากินสัน และ อัลไซเมอร์, บำรุงสมอง, ป้องกันสมาธิสั้น

น้ำมะพร้าวอ่อน = ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนเพียงวันละ 1 ลูก ช่วยในการฟอกโลหิต บำรุงไต

กะทิ = ลดคอเลสเตอรอล(Cholesterol), ไม่อ้วน, ไม่เบาหวาน

น้ำมันมะพร้าว = ช่วยลดความอ้วน โดยกินก่อนอาหารเช้า 4 ช้อนกาแฟ ใช้เป็น Hair Serum ลงหนังหัว, ลดหงอก, เพิ่มผม ใช้ล้างเครื่องสำอาง ใช้เป็นเดย์ครีม ไนท์ครีมได้ มี SPF 90 (Sun block)

น้ำมันมะพร้าว = นำกะทิใส่ถุงแช่ตู้เย็น 3 ช.ม. เพื่อให้เนื้อกับน้ำแยกตัวกัน นำเนื้อมะพร้าวส่วนบนไปเคี่ยวจนเป็นน้ำมัน เก็บไว้ใช้ได้ไม่เกิน 3 เดือน

Oil Pulling คือการนำน้ำมันพืชชนิดสกัดเย็น มาบำบัดโรค = ใช้น้ำมันงา น้ำมันมะพร้าว น้ำมันทานตะวัน ที่ผ่านกรรมวิธีแบบหีบเย็น ปริมาณ 2 ช้อน อมไว้ประมาณ 15 นาที แล้วบ้วนทิ้ง จะช่วยนำเชื้อโรคออกจากช่องปาก

หยุดใช้น้ำมันพืช = เนื่องจากมีส่วนผสมของสารเคมี เมื่อน้ำมันพืชเมื่ออยู่ในอุณหภูมิ 60 องศา จะเปลี่ยนสภาพเป็นไขมันทรานส์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ดังนั้น ควรบริโภคมะพร้าว น้ำมันหมู น้ำมันไก่ ตับจะทำหน้าที่ผลิต Cholesterol โดยที่ Cholesterol LDL จะช่วยป้องกันผิวหนัง และผลิต Cholesterol HDL เพื่อดักจับ LDL ไปทิ้ง

การทำน้ำมันหมู = นำน้ำมันหมูเปลว 1 ก.ก. กับเกลือ 1 ช้อนโต๊ะ เจียวบนกระทะ จะทำให้ไม่ติดกระทะ ไม่กระเด็น ได้น้ำมันเกือบ 2 ลิตร กากหมูจะกรอบมาก เนื่องจากเกลือจะเป็นตัวช่วยดึงน้ำมันออกมาจนหมด

การสระผม = ในการสระผมนั้นแนะนำให้สระด้วยสบู่เด็ก และควรสระผมในช่วงเช้า ไม่ควรสระช่วงเย็น เพราะบางทีผมไม่สามารถแห้งได้ทัน ในเวลานอนนั้นจะเกิดเป็นเชื้อราขึ้นที่หัวได้

เกลือ = การบริโภคเกลือ (เกลือทะเล เกลือเม็ด) ไม่ได้ทำให้ไตวาย แต่เนื่องจากในอุตสาหกรรมการผลิตเกลือที่ขาวละเอียดมีการเติมโพลิเมอร์ โดยหยดลงบนเกลือ ทำให้โครงสร้างจากเดิมโซเดียมคลอไรด์เปลี่ยนเป็นโซเดียมซัลเฟต ซึ่งมีผลต่อไต เพราะไม่สามารถขับออกได้ ซึ่งเกลือชนิดนี้จะโรยบนอาหารแล้วยังคงทำให้อาหารกรอบ แต่ถ้าเป็นเกลือที่เป็นโซเดียมคลอไรด์นั้น จะมีคุณสมบัติดูดความชื้นทำให้อาหารไม่คงความกรอบ

ไมโครเวฟ = การใช้ไมโครเวฟ ระวังมะเร็ง เนื่องจากมีการกระจายคลื่นเข้าสู่เซลมีผลทำลายร่างกาย

ตะไคร้แกง = นำตะไคร้มาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ต้มน้ำด้วยเปล่า รอจนเดือด ดื่มเพื่อลดอาการเบาหวานได้

กาแฟ มีคาเฟอีน มีไว้ดม ไม่ควรกิน เพราะจะมีผลยับยั้งไม่ให้แคลเซียมไปเกาะกระดูก จึงมีโอกาสเป็นโรค กระดูกผุ กระตุ้นเซลมะเร็ง

ไข่ = ไข่ต้ม ไข่เค็ม ไข่พะโล้ โดยเฉพาะไข่แดง หากกินวันละ 2 ฟอง จะช่วยลดน้ำตาลในโลหิต (ลดเบาหวาน) เนื่องจากไข่แดงมีซิลิเนียม งานวิจัยของฮาวาร์ด พบว่าหากบริโภคไข่วันละ 3 ฟอง (อายุต่ำกว่า 45 ปี) ; บริโภควันละ 2 ฟอง (อายุ 45 ปี – 50 ปี) และบริโภควันละ 1 ฟอง (อายุเกิน 50 ปี) ไข่ต้ม 1 ฟอง มีสรรพคุณสูงกว่านม 5 กล่อง

เมื่อเห็นถึงประโยชน์ที่มากมายขนาดนี้แล้ว เราควรที่จะหันมาดูแลและใส่ใจในเรื่องของสุขภาพร่างกายของเราให้มากยิ่งขึ้น เพราะโรคต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวของเรานั้น สาเหตุหลักนั้นมาจากการที่ไม่ดูแลตัวเองทั้งในเรื่องของการกิน และการออกกำลังกาย

ขอบคุณข้อมูลจาก : อาจารย์ไกร มาศพิมล จบมหิดล ,liekr

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here