อะไรที่ทำให้เธอเปลี่ยนใจ จาก “ราชนิกูลหญิง” ใช้ชีวิตหรูหรา ทิ้งชีวิตมา “ติดดิน”

0

อะไรที่ทำให้เธอเปลี่ยนใจ จาก “ราชนิกูลหญิง” ใช้ชีวิตหรูหรา ทิ้งชีวิตมา “ติดดิน”

การใช้ชีวิตของคนเราในแต่ละคนนั้นย่อมมีความคิดและการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกัน ดังเช่น ราชนิกูลหญิง ‘หญิงแม้น’ ม.ร.ว.แม้นนฤมาส ยุคล สวัสดิ์-ชูโต เป็นสาวนักสังคมออกงานหรูหราต่างๆ แต่หลังจากที่ได้พบรักและได้แต่งงานกับ ‘ซัน’ –ต่อสวัสดิ์ สวัสดิ์-ชูโต ก็ได้ทำให้การใช้ชีวิตของหญิงแม้นได้เปลี่ยนไป จนแทบจะเรียกได้ว่าพลิกจากฟ้าเป็นดินเลยทีเดียว หลายคนสงสัยว่าการมีชีวิตที่สุขสบายอยู่แล้วนั้นจะไปทนลำบากทำไม และในวันนี้เธอได้มาเปิดใจพร้อมกับเล่าเรื่องราวการใช้ชีวิตให้กับทางทีมงานเอาไว้ว่า

สามีของเธอ ‘พี่ซัน’เป็นสายธรรมะเข้าวัดเข้าวา เคยบวชและได้ใช้ชีวิตอยู่ที่วัดกลางป่าต่างจังหวัด เขาเป็นอีกคนที่ได้นำพาสไตล์การใช้ชีวิตหนึ่ง ชักนำให้เราได้เห็นโลกในอีกมุมมองหนึ่งที่เราไม่เคยได้เห็น ช่วยเปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ สอนอะไรหลายๆอย่างที่เราไม่เคยได้ทำและไม่เคยรู้จักมาก่อน

จากราชนิกูลหญิงผู้ใช้ชีวิตหรูหรา เปลี่ยนมาเซอร์ติดดิน

สมัยอายุยังไม่ถึงยี่สิบก็ถือกระเป๋าแบรนด์เนมแล้ว

“ตอนออกงานสังคมสมัยก่อน อายุเรายังไม่ถึง 20 ปี เรียนโรงเรียนประจำ อยู่ในโลกที่คิดถึงแต่ตัวเอง ฉันอยากได้สิ่งนี้ อยากทำแบบนี้ รู้จักแค่สังคมแคบๆ ในกรุงเทพฯที่เราอยู่ แต่พอโตขึ้น เราสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้เอง ยิ่งแต่งงานแล้ว พี่ซันทำให้ท่านพ่อ-คุณแม่ (หม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล-หม่อมอัญชลี ยุคล ณ อยุธยา) ไม่ห่วง เพราะรู้ว่ามีคนดูแล ทำให้ได้เห็นโลกและสังคมอื่นมากขึ้น

ยิ่งเดินทางไปต่างจังหวัดบ่อย โดยที่ชาวบ้านไม่ทราบว่าเราเป็นใคร ได้เจอคุณลุง คุณป้า คุณยาย และเด็กๆ ได้คลุกคลีอยู่กับเขาในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ทำให้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป คือ เห็นแก่ตัวน้อยลง ทำเพื่อคนอื่นมากขึ้น

ถ้าออกงานสังคมก็ต้องแต่งเต็มที่เพื่อให้เกียรติงาน

“จุดที่ทำให้เลิกซื้อแบรนด์เนม คือ เมื่อเรารู้ว่าราคากระเป๋าแบรนด์เนมหนึ่งใบ ถ้าเราซื้อในราคาประมาณ 80,000-100,000 บาท สามารถใช้ปรับปรุงบ้านได้หนึ่งหลัง หรือช่วยสร้างโรงเรียนที่ต่างจังหวัดได้ หรือสามารถส่งเด็กเรียนหมอได้หนึ่งคนเลย แต่สำหรับเรามันเป็นแค่กระเป๋าหนึ่งใบ

เมื่อเรารู้ว่าสังคมยังมีคนที่ขาดแคลนอีกมาก และเงินจำนวนนี้สามารถทำสิ่งดีๆ ให้สังคมได้อีกมาก จึงซื้อไม่ลง สู้เปลี่ยนมาใช้ถุงผ้าขาวม้าที่คุณแม่สามีเย็บให้ดีกว่า นอกจากสวยแล้วยังแสดงถึงความเป็นไท ยด้วย ทุกวันนี้หญิงมีหมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกางเกงชาวเล เสื้อม่อฮ่อม เดรสผ้าขาวม้าที่คุณแม่สามีตัดให้ สวยด้วย”

สะพายย่ามผ้าขาวม้าเที่ยว

บางวันถ้าเห็นหญิงแม้นเดินแถวเอ็มโพเรียมหรือเอ็มควอเทียร์ ใส่เสื้อยืด สะพายย่าม สวมรองเท้าแตะ ก็ไม่ต้องแปลกใจนะคะ เพราะชีวิตเธอวันนี้เปลี่ยนมารักความเรียบง่าย จนบางครั้งมีแอบเผลอด้วยนะ…เอาสิ

“ด้วยความที่บ้านอยู่เอกมัย บางวันคิดว่าแค่แวะไปทำธุระที่เอ็มควอเทียร์แป๊บเดียว ไม่เจอใครหรอก ก็เลยแต่งตัวสบายๆ ใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ ถือถุงผ้าขาวม้า ที่ไหนได้ วันนั้นเอ็มควอเทียร์จัดอีเว้นต์ค่ะ โชคดีที่สภาพเราโทรมมาก ไม่มีใครจำได้ อาศัยเดินเร็วๆ ผ่านเลยไป (หัวเราะ)

บางวันลืมตัว แต่งตัวแบบนี้ไปเดินเอ็มโพเรียม เจอคนรู้จักถามว่าทำไมถือถุงผ้าขาวม้า แต่เพราะเรามองเห็นประโยชน์ที่แท้จริงของสิ่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นถุงผ้าหรือกระเป๋าแบรนด์เนม ประโยชน์ของมันคือเพื่อใส่ของใช้ ส่วนการใส่เสื้อผ้าก็เพื่อปกปิดร่างกาย ยกเว้นเวลาไปงาน เราต้องแต่งตัวให้เกียรติงาน หยิบเดรสสวยๆ รองเท้าส้นสูงมาใส่ งานจบก็ถอดส้นสูง ใส่แตะเหมือนเดิม

ปลีกตัวจากงานสังคม มาช่วยชาวบ้าน

“ตอนอายุน้อย เราจะแคร์คำวิจารณ์ หรือคิดว่าคนอื่นคิดกับเราอย่างไร แต่พอโตขึ้น เลิกสนใจคำวิจารณ์ คิดแต่ว่าเราทำอะไรก็ได้ที่ไม่เบียดเบียนใคร ทำแล้วมีความสุข แค่นี้พอ

ทุกวันนี้เราสองคนจึงชอบเดินทางไปต่างจังหวัดเกือบทุกสัปดาห์ ยิ่งได้เห็นธรรมชาติสวยงาม ยิ่งทำให้รู้ว่าเราเป็นแค่จุดเล็กๆ ที่อาศัยอยู่บนโลกนี้ และวันหนึ่งจะจากโลกไป แต่ธรรมชาติ ภูเขา ต้นไม้ น้ำตก ฯลฯ ยังคงอยู่ตลอดไป ยิ่งทำให้เราเห็นคุณค่าและความสำคัญของธรรมชาติมากขึ้น

“เราสองคนชอบโรดทริป ขับรถไปภาคเหนือบ่อยมาก แวะชมนั่นชมนี่ไปตามทาง เพราะพี่ซันชอบถ่ายรูป ทุกคนเซอร์ไพร้ส์ว่าทำไมไม่นั่งเครื่องบินไป แป๊บเดียวก็ถึง สบายด้วย แต่เราสองคนมองว่าในความสบาย ไม่มีความสนุก

ซึ่งนอกจากได้เห็นความสวยงามระหว่างทางแล้ว ยังเป็นช่วงเวลาที่เราได้ใช้ร่วมกันเต็มที่ สวีทกุ๊กกิ๊กกันไปตลอดทาง เขาเอาใจเรา เราเอาใจเขา เหมือนครั้งแรกที่เราพบและทำความรู้จักกันมาตลอดทางที่ขับรถ จนได้แต่งงานกัน”

ภายในปีนี้ ทั้งหญิงแม้นและสามี มีแผนจะย้ายไปเป็นเซเลบฯหนีเมืองอีกคน โดยทั้งคู่ตั้งใจไปใช้ชีวิตอยู่เชียงใหม่ หลังจากจดๆ จ้องๆ ปรึกษากันหลายรอบ

ร่วมมือกันช่วยชาวบ้าน

“ที่ผ่านมาเราสองคนคิดกันว่าอยากไปใช้ชีวิตอยู่ต่างจังหวัดนานแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรมาก จนกระทั่งกรุงเทพฯมีมลภาวะ และปีนี้เราสองคนอยากมีลูก ไม่อยากให้ลูกเติบโตมาท่ามกลางมลภาวะและชีวิตที่วุ่นวาย บวกกับคุณยายของสามียกที่ดินติดริมน้ำปิงที่เชียงใหม่ให้ ทำให้ทุกอย่างลงตัว เราจึงแพลนว่าจะสร้างบ้านดินหลังเล็กๆ อยู่กันเอง ปลูกผัก ปลูกป่า และใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติให้เต็มที่

รอยยิ้ม คือ ความสุขที่ได้จากการแบ่งปันเพื่อผู้อื่น

เพราะทุกวันนี้มีคนอยู่ในเมืองเพิ่มขึ้นทุกวัน แย่งกันกิน แย่งกันอยู่ แย่งกันขึ้นรถไฟฟ้า เพราะฉะนั้นเราออกจากเมืองไปอยู่ต่างจังหวัดแบบฟูลไทม์ดีกว่า เงินเก็บที่มีทั้งหมดจึงมาลงกับการซื้อต้นไม้ สร้างบ้านดิน แทนการซื้อกระเป๋า อีกหน่อยคงเป็นประธานชมรมเซเลบหนีเมือง ลองดูว่าจะมีเพื่อนๆ ตามมาอยู่ด้วยไหม (หัวเราะ)

ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ : praew

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here