ชีวิตติดลบมีแต่คำดูถูก กลายเป็นเจ้าของร้าน “ร้านข้าวมันไก่” ในเมืองนอก

0

ชีวิตติดลบมีแต่คำดูถูก กลายเป็นเจ้าของร้าน “ร้านข้าวมันไก่” ในเมืองนอก

ขอบคุณ ความจน และ พ่อชอบเมา ที่ทำให้ชีวิตเรามาไกลถึงตรงนี้ หญิงสาวผมทองวัย 34 ปีตอบคำถามอย่างเรียบๆ เมื่อถูกตั้งคำถามว่าอะไรคือแรงผลักดันที่ดีที่สุดในชีวิต เพราะในวันนี้หญิงสาวคนนี้เธอคือเจ้าของอาณาจักรข้าวมันไก่ในเมืองพอร์ทแลนด์ ในอเมริกา นับว่าเป็นที่จับตามองของสื่อชาวต่างประเทศในฐานะนักธุรกิจดาวรุ่งใหม่ ผู้ที่ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิตของตนเอง เธอไม่ได้เริ่มจากศูนย์เหมือนอย่างใครเขา แต่เธอเริ่มจากการติดลบ

น้องข้าวมันไก่ คนในบ้านเราอาจจะไม่รู้จัก แต่ชาวฝรั่งที่พอร์ทแลนด์จำนวนมาก รู้จักเธอและเป็นลูกค้าประจำของร้านนี้ตั้งแต่ปีแรกของกิจการ

“ในตอนนี้ได้มี 3 สาขาแล้ว เป็นร้านแบบรถเข็น 2 สาขา และเป็นร้านอาหารหนึ่งสาขา แล้วก็มีเป็นรถทับอีก 1 คันเพื่อเอาไว้บริการงานจัดเลี้ยงต่างๆ สำหรับงานปาร์ตี้ หรืองานแต่งงานที่ลูกค้าต้องการ แล้วแต่ลูกค้าจะจ้างไป มีน้ำจิ้มข้าวมันไก่ใส่ขวดขาย ผลิตเองและขายเอง อีกทั้งยังส่งเองตามร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตค่ะ”

“น้อง พูนสุขวัฒนา” เล่าถึงความสำเร็จในวันนี้ของกิจการ “น้อง ข้าวมันไก่” ที่เป็นคนสร้างขึ้นมากับมือเมื่อ 5 ปีก่อน แต่ทั้งหมดนี้อาจจะไม่เกิดขึ้น หากชีวิตในวัยเด็กของเธอมีความปกติสุขเหมือนคนทั่วไป

“เติบโตมาในครอบครัวที่จนจน แม่ทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงคนทั้งครอบครัวภายในบ้าน ในขณะที่พ่อมีอาชีพขับรถรับจ้างทั่วไป บางครั้งขับรถเมล์ แต่ก็มักจะโดนไล่ออกเป็นประจำ ผชชอบเมาเหล้าและอาละวาด แม่พี่สาวและตัวเราเอง แม้กระทั่งหมาที่เลี้ยงในบ้าน ถูกพ่อทำร้ายร่างกายทุกวี่ทุกวัน”

คนบ้านใกล้เรือนเคียงล้วนดูถูกครอบครัวของเธอ บางครั้งพวกเขาก็ทำร้ายพ่อของเธอเช่นกัน แต่แม่ก็เข้มแข็งพอที่จะส่งลูกเรียนจนจบปริญญาตรีทั้ง 2 คน

“ตอนเด็กไม่เคยกินอาหารที่ร้านอาหาร ไม่เคยได้ดื่มน้ำอัดลม ไม่เคยได้กินฮานามิ เวลาเห็นเด็กคนอื่นกินก็อยากกินนะ แต่มีเงินไปโรงเรียนวันละ 5 บาท ระหว่างเรียนพี่สาวก็จะขายเครื่องสำอางเอวอนและงานศิลปะ น้องทำงานร้านอาหาร ตอนปิดเทอม เพื่อช่วยแม่จ่ายค่าเทอม จนเรียนจบ” เธอเล่าถึงอดีตในวัยเด็ก

เมื่อเรียนจบ เธอตัดสินใจเอาดาบหน้าที่อเมริกา มันคือเมืองแห่งโอกาส ถึงไม่มั่นใจว่าจะอยู่รอดแน่นอน แต่ก็เชื่อว่าความขยันและอดทนจะทำให้เธอไม่อดอยู่ที่นั่น ที่สำคัญที่สุด เธออยากไปให้พ้นจากบ้านหลังนี้ หาเงินให้ได้มากๆ เพื่อที่แม่จะได้ไม่ต้องทำงานหนักอีก มันคือเดิมพันครั้งใหญ่ของครอบครัว ค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทางคือทั้งหมดเท่าที่แม่และพี่สาวรวบรวมมาได้

ระหว่างทาง เธอแวะซื้อน้ำหอมกับบรัชออนปัดแก้ม เครื่องสำอางที่เคยเป็นแค่ความฝันในวัยเด็ก แต่ในวันนี้เธอตัดสินใจจะเป็นเจ้าของมัน เพื่อเตือนตัวเองว่าชีวิตต้องดีขึ้นดั่งความฝัน

เธอเหยียบแผ่นดินอเมริกาโดยมีเงินติดตัว 70 ดอลลาร์ จนกระทั่ง 3 สัปดาห์ผ่านไป เธอได้งานแรกเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ “ตอนแรกก็คิดว่าเราพูดภาษาอังกฤษได้ แต่พอพูดจริงๆ คนฟังเราไม่รู้เรื่อง และต้องนั่งรถเมล์ไปเอง ทั้งๆ ที่นั่งไม่เป็น โดนคนที่ทำงานแกล้ง เพราะน้องเป็นคนบ้านเราคนเดียวในร้าน พูดกับเขาก็ไม่รู้เรื่องเป็นการเริ่มชีวิตจากศูนย์”

เธอทำงาน 7 วันต่อสัปดาห์ รับงานเข้ากะเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหารบ้านเราทุกร้านที่มีในพอร์ทแลนด์ เพราะไม่เคยลืมว่ามาที่นี่เพื่ออะไร “อยากจะเก็บเงินเพื่อสร้างอนาคต และทุกอย่างแพงมาก ต้องทำงานหนักมากกว่าคนอื่น ถ้าอยากช่วยแม่ และมีบ้านเป็นของตนเอง ซึ่งมันเป็นความฝันตั้งแต่เด็กๆ”

6 ปีผ่านไปในฐานะเด็กเสิร์ฟ เธอบอกว่ารู้สึกไม่มีความสุข และเริ่มหมดหวัง กับชีวิต รู้สึกเป็นเหมือนเทียน ที่กำลังจะดับ ถ้าไม่อยากเป็นเด็กเสิร์ฟไปจนวันสุดท้ายของชีวิต ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิต นั่นคือจุดเริ่มต้นของ “น้อง ข้าวมันไก่” หรือ NONG’S KHAO MAN GAI ที่ชาวพอร์ทแลนด์รู้จักกันดี

นับตั้งแต่วันนั้น เธอใช้เงินทั้งหมดที่มีไปกับการพัฒนาสูตรข้าวมันไก่ ทดลองทำครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะรสชาติที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยง เธอทุ่มหมดหน้าตัก ถ้าไปไม่รอดก็ต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่เหมือน 6 ปีก่อน “ข้าวมันไก่” ในดินแดนอาหารขยะ ไม่ต่างอะไรจากตัวเธอเองในวันแรกที่ไปเหยียบแผ่นดินอเมริกา มันดูผิดที่ผิดทางและแปลกแยก นั่นคืออุปสรรคในช่วงเริ่มทำธุรกิจของตัวเองอย่างจริงจัง

“คนไม่รู้จัก ข้าวมันไก่คืออะไร?” เธอเล่า เพราะถ้าพูดถึงอาหารบ้านเรา คนต่างชาติจะรู้จัก “ต้มยำกุ้ง” มากกว่าอาหารจานเดียวที่อยู่ในวิถีชีวิตจริงๆ แต่เธอก็ผ่านปัญหานั้นมาได้ด้วยคุณภาพของสินค้าและบริการ “มันไม่ใช่แค่ไก่และข้าว แต่ต้องมั่นใจว่าลูกค้าแฮปปี้ ได้รับบริการที่ดีและรวดเร็ว แม่สอนมาว่า จงเป็นผู้ให้ก่อน แล้วจะได้รับ ต้องให้ความเคารพลูกค้า และอย่าลืมยิ้ม”

เธอบอกว่า คำสอนของแม่ทำให้เธอได้รับความช่วยเหลือจากหลายๆ คน เพราะนอกจากรสชาติแล้ว ความอ่อนน้อมและซื่อสัตย์ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนจำนวนมากอยากอุดหนุนข้าวมันไก่ของเธอ

“ยังจำวันที่ขายข้าวมันไก่ห่อแรกได้ จริงๆ ร้านต้องเปิดสิบโมง แต่วันนั้นฉุกละหุกมาก ข้าวก็หุงไม่ทัน กว่าจะเปิดได้ก็บ่ายโมง มีพี่คนบ้านเราและเพื่อนที่รู้จักกันมารอซื้อ รวมถึงลูกค้าที่ดูเหมือนจะเป็นศิลปินด้วย เราก็บอกว่ายังไม่เสร็จ พี่ๆ เขาก็กลับมาซื้อตอนบ่ายโมง วันแรกขายหมดเกลี้ยง ดีใจมาก”

ยิ่งเวลาผ่านไป เธอยิ่งมั่นใจว่ากิจการ “น้อง ข้าวมันไก่” อยู่รอดแน่นอน แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็เรียนรู้ว่า แค่ทำข้าวมันไก่ดีๆ ยังดีไม่พอ เพราะในวันนี้ เธอมีพนักงานอีก 19 คนที่ต้องดูแล ทุกคนเรียกเธอว่า “เชฟน้อง”

“สำหรับความท้าทายในตอนนี้คือการบริหารงาน บริหารคน การคงคุณภาพสินค้า และบริการ ต้องเรียนรู้เรื่องธุรกิจ ต้องเป็นผู้นำ เพราะวันนี้มีทีมมาช่วยงานแล้ว ยอมรับว่าถ้าไม่มีพวกเขา คงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้”

ในขณะที่เธอวุ่นวายกับการทำธุรกิจในต่างแดน สถานการณ์ที่บ้านก็ดีขึ้นเป็นลำดับ เธอได้ทำงานหาเลี้ยงครอบครัวตามที่ฝันไว้ แม่ไม่ต้องทำงานหนักอีกแล้ว นี่คือสิ่งที่เธอภูมิใจที่สุด “ที่บ้านดีขึ้นมากแล้ว พ่อหยุดกินเหล้า แต่พูดไม่ได้ เพราะเส้นโลหิตในสมองแตก เป็นผลจากการกินเหล้า แต่แม่ก็ยังดูแลพ่อทุกวัน”

ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายแค่ไหน มันก็ยังคงมีอะไรบางอย่างให้รู้สึกขอบคุณ เพราะหากไม่มีความจน ความลำบาก และเสียงดูถูกดูแคลน ก็อาจจะไม่มี “น้อง ข้าวมันไก่” ในวันนี้ เธอบอกว่า ความฝันจะกลายเป็นความจริงเมื่อเชื่อในตัวเอง เชื่อว่าทำได้ ลงมือทำ และทำให้ดีกว่าที่คนอื่นคาดหวัง 11 ปีผ่านไป เธอยังใช้น้ำหอมและบรัชออนตลับนั้นอยู่

ขอบคุณ : คุณน้อง พูนสุขวัฒนา

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here