“จงมองสิ่งที่มี มากกว่ามองสิ่งที่ขาด” ข้อคิดที่ดี ชีวิตจะผาสุข

0

“จงมองสิ่งที่มี มากกว่ามองสิ่งที่ขาด” ข้อคิดที่ดี ชีวิตจะผาสุข

ในชีวิตของคนเรา หากเรารู้จักการใช้ชีวิต รู้จักยอมรับความจริง ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ ทุกอย่างขึ้นได้เราไม่สามารถบังคับหรือกำหนดอะไรได้นอกจากตัวเรา ดังเช่นข้อคิดที่ดีที่เราได้นำมาฝากทุกๆท่านกันในวันนี้
หวาง เหม่ยเหลียน เธอได้ป่วยเป็นโรคสมองที่พิการโดยตั้งแต่กำเนิด เธอมีปัญหาในเรื่องของการเคลื่อนไหว อีกทั้งเธอไม่สามารถพูดได้ แต่เธอก็ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่เธอเป็น เธอพากเพียรมุ่งมั่นเรียนจนจบถึงปริญญาเอกสาขาศิลปศาสตร์ จาก UCLA มหาวิทยาลัยชื่อดังอันดับต้นๆ ของสหรัฐฯ

ที่ไต้หวัน เป็นบ้านเกิดของเธอได้มีการจัดแสดงภาพเขียนของเธอบ่อยครั้ง ในขณะเดียวกันนั้นเธอก็ได้ถูกเชิญให้ไปบรรยาย (ด้วยการเขียน) ตามสถานที่ต่างๆอยู่เป็นประจำ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนหลายๆคนว่า เธอไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่เธอเป็นอยู่ เธอสามารถสู้และฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านั้นมาได้ ในครั้งหนึ่งได้มีเด็กนักเรียนคนหนึ่งได้ทำการถามคำถามหลังจากที่บรรยายเสร็จว่า “คุณอยู่ในสภาพนี้มาตั้งแต่คุณเกิด คุณไม่รู้สึกน้อยใจหรือคุณมองตัวเองอย่างไรบ้าง”

ในคำถามนี้สร้างความตกใจให้แก่ที่ประชุม เพราะเป็นคำถามที่หลายๆคนก็อยากจะรู้คำตอบ แต่น้อยคนที่กล้าจะถาม และเป็นคำถามที่ตรงไปอาจจะกระทบจิตใจของเธอได้ แต่เมื่อเธอได้ยินคำถามเธอกลับดูเป็นปกติ แล้วเขียนข้อความดังกล่าวเอาไว้ว่า “ฉันมองตัวเองอย่างไรหรือ” แล้วเธอก็บรรยายเป็นข้อๆดังต่อไปนี้

1. ฉันเป็นคนน่ารักมาก

2. ขายของฉันเรียกยาวสวยดี

3. พ่อกับแม่ของฉันรักฉันมาก

4. พระเจ้าประทานความรักให้แก่ตัวฉัน

5. ฉันวาดภาพหน้าฉันแต่งหนังสือได้ดี

6. ฉันมีแมวที่น่ารัก

แล้วเธอก็ได้เขียนสรุปข้อความมาไว้ว่า “ฉันมองในสิ่งที่ฉันมี ฉันไม่ได้มองในสิ่งที่ฉันขาด” ในทันทีที่เธอได้เขียนประโยคสุดท้ายจบ ผู้คนในห้องประชุมต่างปรบมือดังสนั่นทั้งห้องประชุมด้วยความประทับใจในตัวเธอเป็นอย่างมาก

คนอย่างหวาง เหม่ยเหลียน น่าจะเป็นคนอมทุกข์ เพราะสูญเสียสมรรถนะ สำคัญหลายอย่างที่มนุษย์ปุถุชนพึงมี แต่เธอไม่มัวจมจ่อมเสียใจกับสิ่งที่ขาดไป หากหันมาชื่นชมใส่ใจกับสิ่งที่เธอมีพอเปลี่ยนมุมมองเช่นนี้ เธอก็มีความสุขได้ไม่ยากใช่แต่เท่านั้น เธอยังนำสิ่งที่มีอยู่นั้นมาใช้ประโยชน์ให้เต็มที่ จนประสบความสำเร็จอย่างที่คนธรรมดาจำนวนมากมิอาจทำได้มุมมองของสาวไต้หวันผู้นี้ ไม่ต่างจากมุมมองของคนพิการหลายคนที่สามารถทำสิ่งที่ยากให้สำเร็จได้

สว่าง ทองดี นักปั่นจักรยานข้ามประเทศ เล่าว่า เขาประหลาดใจมากที่พบว่ามีคนแขนขาดหรือป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายหลายคนจากหลายชาติขี่จักรยานไปถึงเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากแม้กระทั่งสำหรับคนที่มีอวัยวะครบ 32 หลังจากสนทนากับคนเหล่านั้น

เขาได้ข้อสรุปว่า

“ผมเรียนรู้จากคนเหล่านี้ว่า หากคิดจะก้าวไปข้างหน้าแล้ว จงอย่าคิดถึงสิ่งที่เราไม่มีหรือข้อด้อยของตัวเอง แต่ให้มองว่าเรามีสิ่งใดอยู่กับตัวบ้าง การจะทำฝันให้สำเร็จได้นั้นขึ้นอยู่กับว่า เราใช้สิ่งที่เรามีอยู่ได้แค่ไหนต่างหาก”

ผู้คนเป็นอันมากท้อแท้กับชีวิต ยอมแพ้ต่ออุปสรรค เพราะมองเห็นแต่สิ่งที่ตนเองไม่มี เช่น เงินทอง พรรคพวก เส้นสาย หรือสถานภาพ แต่กลับมองข้ามสิ่งที่ตนเองมีอยู่ หรือไม่รู้จักใช้สิ่งที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์เต็มที่ หลายคนมัวแต่ก่นด่าชะตากรรมว่าทำไมฉันถึงไม่มีเหมือนคนอื่นเขา คนเหล่านี้ไม่ต่างจากนักเล่นไพ่ที่เอาแต่บ่นว่าโชคไม่ดี ที่จั่วได้ไพ่แต้มต่ำๆ แทนที่จะคิดว่า ฉันจะเล่นไพ่ในมือให้ดีที่สุดได้อย่างไร

แม้มีมากเพียงใด แต่ตราบใดที่มองเห็นแต่สิ่งที่ตนขาด ก็จะไม่มีวันพบความสุขเลย เด็กจำนวนไม่น้อยเป็นทุกข์ที่ไม่มีสมาร์ทโฟนใช้ทั้งๆ ที่มีอะไรต่ออะไรมากมายอยู่แล้ว ส่วนผู้ใหญ่ก็เป็นทุกข์ที่ไม่มีรถเบนซ์ขับหรือไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง ทั้งๆ ที่มีชีวิตสะดวกสบาย มีการงานที่มั่นคง มีครอบครัวที่อบอุ่น ยังไม่ต้องเอ่ยถึงหญิงสาวที่มีพร้อมทุกอย่าง แต่ก็ยังทุกข์เพราะไม่มีผิวสวยงามหรือทรวดทรงที่กระชับ

หากมองเห็นแต่สิ่งที่มี ไม่มองสิ่งที่ขาดนอกจากจะไม่ทุกข์เพราะยังไม่มีนั่นนี่แล้ว เมื่อถึงคราวที่ต้องสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไปก็ไม่ทุกข์ง่ายๆ เพราะดีใจที่ยังมีสิ่งต่างๆ อีกมากมายหลายคนสูญเสียทรัพย์สมบัติมากมายจากอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อปี 2554 แต่เมื่อสำรวจรอบตัวก็พบว่า ยังมีข้าวของมากมายที่หลงเหลืออยู่ ที่สำคัญก็คือ ลูกและคนรักยังอยู่กันพร้อมหน้า จึงคลายทุกข์ไม่จมอยู่กับความอาลัย พร้อมมองไปข้างหน้าและก้าวเดินต่อไป

โสภณ ฉิมจินดา เขาเป็นคนที่มีน้ำใจชอบช่วยเหลือเผื่อแผ่เด็กชนบทในถิ่นทุรกันดารอยู่บ่อยครั้ง ในคราวหนึ่งเขาได้ชวนเด็กนักศึกษาไปช่วยกันบำเพ็ญประโยชน์ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ในขากลับนั้นรถของเขาพลัดตกลงจากเขา ปรากฏว่านักศึกษาทุกคนปลอดภัยไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด

ยกเว้นเขาซึ่งหลังได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ครึ่งตัว หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นมีหลายคนพูดกับเขาว่า “นี่ขนาดไปทำบุญยังเกิดอุบัติเหตุ” ราวกับจะตัดพ้อว่า ทำดีแล้วทำไมไม่ได้ดี แต่เขาเองกลับไม่รู้สึกเป็นทุกข์เลย เขามองว่า “เพราะเราไปทำบุญ เราถึงเหลือตั้งเท่านี้”

แทนที่ตัวเขาแต่เสียใจ เพราะเขาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ไปครึ่งตัว แต่เขากลับมองว่าตัวเองนั้นโชคดีมากแค่ไหน ที่ร่างกายอีกครึ่งนึงยังเป็นปกติ ไม่ว่าจะสูญเสียมากหรือน้อยประสบการณ์นี้ของบุคคลนี้ยังเตือนเราว่า “พึ่งมองในสิ่งที่มี อย่ามองในสิ่งที่ขาด” แล้วเราจะมีพลังในการใช้ชีวิตให้ดำเนินไปในทุกๆวันได้อย่างมีความสุข

เรียบเรียง : postsara

ขอบคุณข้อมูลจาก : pentahugs

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here