สอนลดดอกเบี้ย “ผ่อนบ้าน” ให้หมดไว ประหยัดได้หลายแสน

0

สอนลดดอกเบี้ย “ผ่อนบ้าน” ให้หมดไว ประหยัดได้หลายแสน

แล้ววันนี้เรามีวิธีดีๆเกี่ยวกับเรื่องการผ่อนบ้าน ทำยังไงให้ได้ดอกเบี้ยถูกๆและไม่บานปลายในอนาคต วิธีที่กำลังจะบอกต่อไปนี้สามารถปลดหนี้หลายแสนให้บ้านเราได้เลย ใช้ระยะเวลาค่อนข้างที่จะน้อยกว่าปกติ

อีกทั้งเมื่อเราผ่อนหมดแล้วเรายังได้เงินบางส่วนคืนมาอีกด้วย ใครที่อยากจะนำข้อมูลนี้ไปใช้ก็สามารถ save เก็บไว้ได้เลย เผื่อเราจะหาไม่เจอ

สิ่งที่ต้องรู้ก่อน

1. ผ่อนให้หมดไวคือ การรู้จักขอลดดอกเบี้ย

2. ได้เงินคืนบางส่วนคือ เงินประกันที่หลายคนถูกบังคับให้ทำตอนกู้ ซึ่งธนาคารบางแห่งมักจะชอบอ้างว่า หากทำแล้วจะได้อนุมัติผ่านได้ง่ายขึ้นถ้าทำประกัน

3. โดยปกติแล้วส่วนมากคนที่ทำสัญญามักจะบอกว่า ห้ามปิด ห้ามโปะหนี้ ก่อน 3 ปี ซึ่งข้อมูลนี้คุณจึงสามารถใช้ช่องโหว่นี้มาขอลดดอกเบี้ยกับธนาคารได้เลย

4. หลังผ่านไป 3 ปี ให้คุณไปขอลดดอกเบี้ยที่ธนาคาร ถ้าธนาคารตอบว่าไม่ได้ ให้คุณวางแผนว่าจะรีไฟแนนท์ไปธนาคารอื่น (ให้ธนาคารอื่นมาโปะหนี้ให้กับธนาคารเดิม คุณชอบจะกลายเป็นหนี้ธนาคารอื่นแทน โดยตรงนี้ก็จะสามารถลดเงินในบางส่วนไปได้)

5. เมื่อคุณบอกไปแบบนี้แล้วนั้นธนาคารก็จะพยายามรักษาลูกหนี้ไว้ จริงๆแล้วเขาไม่ต้องการให้ลูกหนี้ไปใช้ธนาคารอื่นหรอก เขาจะ retention นั่นก็คือการลดดอกเบี้ยให้นั่นเอง

วิธีการที่คุณต้องรู้ 14 ข้อนั้นก็คือ

1. ให้คุณไปติดต่อที่สาขาที่คุณกู้ เพื่อที่จะได้ทำการเจรจาขอลดดอกเบี้ย

2. ถ้าคุณอยากได้เปรียบให้คุณพูดไปเลยว่า ขอลดดอกเบี้ยตรงๆไปเลย โดยจะต้องให้เหตุผลแค่ว่าคุณเป็นลูกค้าชั้นดี ไม่เคยมีประวัติชำระไม่ตรง และในตอนนี้ผ่อนมาครบ 3 ปีแล้ว จึงอยากจะขอลดดอกเบี้ย

3. ถ้าหากไม่ได้ตั้งใจว่าจะรีไฟแนนท์ เนื่องจากไปเช็คดอกเบี้ย โฮมโลนสำหรับลูกค้าใหม่มาแล้ว 4-5 ธนาคาร แล้วดอกถูกกว่าที่จ่ายอยู่

4. จากนั้นพนักงาน เขาอาจจะถามคุณว่าสนใจที่ไหนอยู่ คุณก็แกล้งเลือกบอกไปสัก 1 ธนาคาร ที่มีดอกต่ำที่สุดในกระดาษที่คุณจดมา

ปล. คุณต้องเช็คแล้วเขียนใส่กระดาษว่า ดอกเบี้ยแต่ละธนาคารเท่าไหร่ 4-5 ที่ อย่างที่บอกจริงๆ คุณจะต้องเช็คไปจริงๆ

5. เนื่องจากมันจะทำให้คุณสามารถต่อรองได้มากขึ้น เพราะว่าธนาคารจะรู้เรตของธนาคารอื่นอยู่แล้ว แต่แค่แกล้งถามให้รู้ว่าคุณเช็คมาจริงๆ

6. หลังจากนั้นธนาคารจะออฟเฟอร์ดอกเบี้ยใหม่ให้คุณ ซึ่งก็ยังพูดมาในราคาที่แพงกว่าของธนาคารที่คุณแจ้งไปเล็กน้อย

7. เนื่องจากเขารู้ว่า ถ้าคุณรีไฟแนนท์ คุณก็ต้องมีค่าใช้จ่าย และบางคนก็มองว่ายุ่งยาก ธนาคารจึงคิดว่า ดอกเบี้ยลดให้แล้ว แต่ยังแพงกว่าหน่อยลูกค้าส่วนใหญ่ก็โอเคถือว่าซื้อความสะดวก

8. เมื่อคุณได้ดอกเบี้ยใหม่ คุณก็ถามเขาได้เลยว่า ดอกเบี้ยใหม่เริ่มคิดให้ตั้งแต่เดือนไหน (คุณสามารถไปติดต่อก่อนครบ 3 ปี ล่วงหน้าซัก 1-2 เดือนได้เลย)

ปล. ดอกเบี้ยของธนาคารอื่น 4-5 ธนาคารที่ให้เช็คและจดไปว่าที่ไหนต่ำสุด ให้คุณทำการคำนวณว่า ในระยะเวลาอีก 3 ปีที่จะผ่อนข้างหน้าต่ำสุด ไม่ใช่ดูแค่ว่า 0% 3 เดือนแรก จากนั้น แพง ให้คุณลองคำนวณดูที่ 3 ปี

9. เนื่องจาก หลังจากนั้นทุกๆ 3 ปี คุณก็จะใช้ช่องโหว่เดิมมาขอลดดอกเบี้ยได้อีก (จึงขอแนะนำให้ดูที่ 3 ปี)

10. แต่ว่ายอดหนี้ของคุณจะต้องเกิน 1 ล้านบาทตอนไปขอลดดอกเบี้ย (ซึ่งแล้วแต่ธนาคาร คุณลองเช็คดูก่อน)

11. บางธนาคารก็มีการดูท่าทีคุณ เพื่อที่จะประเมินว่าควรให้ดอกเบี้ยใหม่เท่าไหร่ ถ้าหากคุณไม่รู้อะไรเลยก็จะลดได้ไม่เยอะ

12. ยกตัวอย่างในกรณีของเพื่อนเคยเจอแบบว่า พอพูดว่าจะรีไฟแนนท์ เขาเช็คดูว่าเป็นหนี้บัตรเครดิตหรือไม่ จนเพื่อรต้องบอกว่า หนี้บัตรตั้งใจปิดก่อนรีไฟแนนท์อยู่แล้ว เนื่องจากรู้ว่าต้องใช้ในการพิจารณ์สินเชื่อบ้าน ยังไงก็จะปิดอยู่แล้ว เลยได้ลดดอกเบี้ยมา

13. ถ้าหากเขารู้ว่าคุณไม่มีทางเลือกเป็นหนี้บัตรเครดิต อาจจะยากในการขอสินเชื่อจากธนาคารใหม่ ธนาคารก็อาจจะดึงเกมส์ โดยไม่ลดให้ หรือลดให้ไม่มาก เพราะรู้ว่าที่จริงแล้วคุณไม่มีทางเลือก

14. ฉะนั้นก่อนที่คุณจะไปต่อรอง คุณควรชำระบัตรให้หมด หรืออย่างน้อยให้บัตรเครดิตของธนาคารนั้นเป็น 0 ไปรวมหนี้ไว้ที่บัตรของธนาคารอื่นก่อน

ได้รับเงินคืน เมื่อผ่อนหมด

– ถ้าหากในกรณีที่คุณโดนบังคับให้ทำประกันพร้อมกู้ซื้อบ้าน และคุณได้ทำสัญญากู้บ้าน

– ยกตัวอย่างเช่น ทำสัญญากู้บ้าน 30 ปี แต่คุณผ่อนจริง 17 ปีหมด คุณก็จะสามารถติดต่อขอเคลมเงินประกันคืนได้

– โดยให้คุณให้เหตุผลกับธนาคารว่า คุณได้คุ้มครองแค่ 17 ปี ที่เหลืออีก 13 ปีไม่ได้มีการคุ้มครอง เนื่องจากผ่อนบ้านหมดแล้ว

– ฉะนั้น คุณจึงขอเคลม 13 ปีที่ไม่ได้คุ้มครองคืนเป็นเงิน

– การขอเคลมคืนอาจจะได้มาไม่มาก ประมาณไม่กี่หมื่น คุณสามารถสอบถามธนาคารได้เลยว่าได้คืนเท่าไหร่ และธนาคารอาจจะยื่นข้อเสนอให้กับคุณว่า ถ้าไม่รับคืนก็จะคุ้มครองต่อ

– โดยส่วนมากการคุ้มครองมักจะเป็นการได้เงิน ถ้าหากคุณเสีย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วธนาคารจะทำประกันแบบนี้ให้

– เนื่องจาก ธนาคารกลัวว่าคุณจะจากไปก่อนผ่อนบ้านหมด ซึ่งผู้ที่ได้ก็ไม่ใช่คุณ แต่เป็นผู้รับประโยชน์ในสัญญากรมธรรม์

– ซึ่งถ้าหากคุณให้เขาคุ้มครองต่อ คุณก็ควรจะแจ้งชื่อผู้รับผลประโยชน์ใหม่

เนื่องจาก ผู้รับประโยชน์เก่าในกรรมธรรม์ก่อนที่คุณจะปิดบ้านหมดคือ ธนาคาร ฉะนั้น คุณลองชั่งน้ำหนักดูว่า คุณจะเคลมเอาเงินคืน หรือให้ธนาคารคุ้มครองต่อไป

เขียน / เรียบเรียงส่วนหนึ่งโดย : Postsara

ขอขอบคุณ : สมาชิกหมายเลข 1789217 เว็บไซต์พันทิปดอทคอม

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here