เจ้าของ ”หัวเหว่ย” เข้าแถวรอขึ้นรถแท๊กซี่ สั่งห้ามคนมารับ

0

เจ้าของ ”หัวเหว่ย” เข้าแถวรอขึ้นรถแท๊กซี่ สั่งห้ามคนมารับ

สำหรับวันนี้เราจะมาพูดถึงคนที่โด่งดังอยู่ในโลกออนไลน์ขณะนี้ เขาชื่อว่า เยิ่นเจิ้งเฟย เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทหัวเว่ย ชื่อที่ใครหลายคนก็รู้จักกัน เขาเป็นชายที่มีอิทธิพลในเรื่องของเศรษฐกิจจีนและทั่วโลก

โดยในปี 2017 เขามีอายุ 72 ปี เขาได้ไปเข้าแถวเพื่อรอที่จะขึ้นรถแท็กซี่กลางดึกคนเดียว ที่สนามบินแห่งหนึ่งในเมืองเซี่ยงไฮ้ รายได้มีคนแอบถ่ายรูปไว้ ในภาพนั้นเขากำลังเดินลากกระเป๋าเดินทาง อีกมือหนึ่งใช้โทรศัพท์โทรออก ในขณะที่เขากำลังรอรถแท็กซี่เหมือนคนทั่วไป ภาพของเขาก็ถูกๆแพร่ออกไปในโลกของโซเชียล และได้การคารวะอย่างจริงใจ

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ในช่วงปี 2012 ที่ผ่านมา ก็ได้มีคนถ่ายรูปเอาไว้เหมือนกัน ในขณะที่กำลังขึ้นรถขนส่งผู้โดยสาร เขาใส่เสื้อเก่าๆ หิ้วกระเป๋าที่เก่าจนเป็นสีเหลือง ใช้ชีวิตด้วยความนอบน้อม มีมารยาทที่ดี ทั้งๆที่เขานั้นได้เป็นถึงนักธุรกิจระดับโลก แต่ก็ไม่ได้ใช้อภิสิทธิ์ที่เหนือกว่าคนอื่นใด จนปัจจุบันนี้เขาก็ยังไม่มีรถประจำตำแหน่งของเขาเลย

เขามักจะมีคำพูดติดปากอยู่ 3 คำ

1. ลูกค้า…เป็นศูนย์กลาง

2. การแข่งขันคือต้นทุนอย่างหนึ่ง

3. ต้องอุดหนุนคนที่ทำงานดิ้นรนอย่างยากลำบาก…

เขาห้ามลูกน้องอำนวยความสะดวกต่างๆกับตัวเอง เช่น เคยมีคนขับรถไปรับที่สนามบิน กลับถูกท่านสอนว่า…

“ลูกค้าจึงจะเป็นทั้งเสื้อผ้า อาหาร หรือบุพการีของเธอที่แท้จริง เธอควรจะใช้แรงกายและแรงใจ เอาใจใส่ให้กับลูกค้าทั้งหมด !”

“หัวเหว่ย” ไม่ใช่ผลิตแค่โทรศัพพ์มือถือ แต่บริษัทที่ผลิต ติดตั้ง เซตสัญญาณโทรศัพพ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีเครือข่ายบริการอยู่ใน 150 ประเทศ มีประชากรโลกใช้บริการ “หัวเหว่ย” อยู่ร่วม 2,000 ล้านคน….

เทคโนโลยีระบบ 4g. ของยุโรป “หัวเหว่ย” มีสัดส่วนการลงทุน ถึง 50%

ตั้งแต่ปี 2,000 เป็นต้นมา ภายใน 15 ปี “หัวเหว่ย” ทำเงินจากทั่วโลก เข้าบริษัทได้ถึง 2.3 ล้านๆหยวน ซึ่งเป็นเงินที่ได้จากต่างชาติถึง 70%

ปัจจุบัน…โทรศัพท์มือถือในท้องตลาดไม่ต่ำกว่า 20 ยี่ห้อ ที่ประสบกับภาวะถดถอยทางการตลาด ไม่เว้นแม้แต่ “แอปเปิล” แต่ “หัวเหว่ย” กลับมีผลประกอบการเพิ่มขึ้น

เขาไม่เอาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ แต่กระจายหุ้นของบริษัท 98.6% ให้กับพนักงานของบริษัท ตัวเองมีหุ้นแค่ 1.4% เท่านั้น…

เพราะเห็นว่า การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ การทำกำไรมหาศาลเกิดจากการปั่นตัวเลขเท่านั้น ความจริงมนุษย์ในโลกนี้ ต้องเริ่มที่ธุรกิจบนพื้นฐานความจริง…

ซึ่งการปั่นเงินจากตลาดหุ้น มันไม่ช่วยในการพัฒนาใดๆเลย เขาจึงไม่ยอมเอา “หัวเหว่ย” เข้าตลาดหลักทรัพย์

ทำให้พนักงาน “หัวเหว่ย” ทุกคน มีส่วนร่วมกับบริษัท เงินทุกๆหยวนที่เข้าบริษัท เปรียบเหมือนทุกคนได้ส่วนแบ่งด้วย ทำให้เขามีเกาะคุ้มกัน ข้างหน้า และแรงหนุนจากข้างหลัง…

เขามักกล่าวว่า “เมื่อผมได้ชัยชนะมา 1 ครั้ง ผมก็จะทำให้พ่อแม่พี่น้อง ญาติ มิตรสหาย ได้กินข้าวเพิ่มอีก 1 ชาม และยังจะแบ่งเงินส่วนหนึ่งให้เป็นความหวังของลูกหลานแรงงาน สามารถใช้เป็นทุนการศึกษา ให้เด็กๆได้เรียนหนังสือให้มากขึ้น”

แม้เป็นถึงมหาเศรษฐี แต่กลับทำตัวธรรมดาสามัญ ในวัย 72 ไม่เข้าสังคมที่ไร้สาระต่อธุระกิจ ไม่เข้าหานักการเมือง และปฎิเสธการเข้าร่วมกิจกรรมกับข้าราชการทุกระดับ

แม้รวยมหาศาล แต่ขับรถมือ 2 ราคาไม่เกิน 1 แสนหยวน (ประมาณ 5 แสนบาท) ต่อมารถเก่าจนสตาร์ทไม่ติด จึงได้เปลี่ยนไปซื้อรถ BMW 730i ราคาประมาณ 1 ล้านหยวน (ประมาณ 5 ล้านบาท) นั่นเป็นทรัพย์สินที่สิ้นเปลืองที่สุดของท่านแล้ว…

ท่านนำเงินตราต่างประเทศเข้าจีนมากมายมหาศาล 6.6 ล้านๆ เสียภาษีให้รัฐบาลจีนเต็มเม็ดเต็มหน่วย ให้ประเทศจีน 1.6 แสนล้าน

ท่านกระจายหุ้นให้พนักงานทุกๆคน ทำให้ทุกคนมีส่วนร่วมในบริษัท ทำให้รัฐบาลจีน ยกย่องให้เป็นนักธุระกิจดีเด่นแห่งชาติ

ขอขอบคุณ : honghongworld

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here