บ้านเราติดอันดับ 1 “คนรวย รวยขึ้น” “คนไม่มี ไม่มียิ่งกว่าเดิม”

0

บ้านเราติดอันดับ 1 “คนรวย รวยขึ้น” “คนไม่มี ไม่มียิ่งกว่าเดิม”

เรียกได้ว่าเป็นข้อมูลที่ให้ประโยชน์ต่อประชาชนอย่างมาก เพราะเป็นความจริงที่เกิดขึ้นในยุคสมัยในปัจจุบันนี้ ที่เกี่ยวกับประเทศบ้านเราและความเป็นอยู่ เมื่อคุณได้อ่านบทความนี้จบคุณจะได้รับอะไรหลายๆอย่างจากเนื้อหาบทความนี้

ประเทศของบ้านเรานั้นกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงที่สุดในโลกไปแล้ว ตามข้อมูลของ CS Global Wealth Report 2018 ที่ได้ออกมาเผยข้อมูลในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมานั้นนับว่าเป็นข้อมูลที่น่าเป็นห่วงมากในเรื่องของความมั่งคั่งแล้ว บ้านเราแดนสารขัณฑ์ที่ได้อันดับสามในการสำรวจเมื่อสองปีที่แล้ว สามารถแซงทั้งรัสเซีย ทั้งอินเดีย ฉลุยขึ้นป้ายอันดับหนึ่งได้อย่างค่อนข้างห่างด้วยซ้ำ

เมื่อสองปีที่แล้ว (2016) คนบ้านเรา 1%แรก (5 แสนคน) มีทรัพย์สินรวม 58.0% ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ มาปีนี้(2018) 1%มีเพิ่มเป็น 66.9% รวยขึ้นอื้อเลยครับ …แซงรัสเซียที่ลดจาก78% เหลือแค่57.1%ตกไปเป็นที่สอง ขณะที่ตุรกีมาแรง คนรวยกลับเพิ่มสัดส่วนขึ้นได้เป็น54.1% แซงอินเดียที่ตกไปเป็นที่สี่ จาก58.4% เหลือแค่เพียง51.5% …แล้วนอกจากสี่ประเทศนี้ก็ไม่มีประเทศไหนในโลกอีกแล้วที่คนรวย1%มีเกินครึ่ง …โดยประเทศที่ดีที่สุดคือเบลเยี่ยมที่1%มีแค่ 20.1% ตามด้วยออสเตรเลีย22.4% (ดูตาราง40ประเทศด้านล่าง)

ที่รัสเซีย อินเดีย เศรษฐีจนลงก็พอเข้าใจได้ เพราะภาวะเศรษฐกิจและอัตราแลกเปลี่ยนที่ย่ำแย่เป็นตัวฉุด …แต่ตุรกีนี่ก็มีวิกฤติไม่เบา สงสัยคุณเออร์โดกันแกออกนโยบายปกป้องพรรคพวกไว้ได้ดี เลยส่งผ่านผลวิกฤติกระจายให้คนจนได้มากกว่า …อย่างบ้านเรา ที่ตีปี๊ปว่าเศรษฐกิจฟื้นแล้ว กำลังเข้าสู่ยุคโชติช่วงใหม่ เห็นตัวเลขนี้ก็คงพอเข้าใจได้ว่าทำไมรากหญ้ายังบ่นอู้ และที่เขาว่าแข็งบน-อ่อนล่างมันเป็นยังไง

พอไปดูรายละเอียดของตาราง (table6.5) ยิ่งอยากเอาตีนก่ายหน้าผากเข้าไปใหญ่ …เพราะคนบ้านเราที่จนสุด 10% มีทรัพย์สิน 0% (จริงๆถ้ารวมหนี้น่าจะติดลบนะครับ) …ขณะที่ถ้านับ 50%(25ล้านผู้ใหญ่) ก็ยังมีแค่ 1.7% และถ้าเอา 70% (35ล้าน) ก็เพิ่มไปเป็นแค่ 5% …ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจหรอกครับเพราะว่า 1%แรก (ห้าแสนคน) เอาไปหมด …แต่ที่น่ากังวลก็คือมันสะท้อนว่า คนครึ่งประเทศ เป็นพวก”หาเช้ากินคำ่”หรือไม่ก็”เดือนชนเดือน” ไม่มีเหลือเก็บเหลือออม แล้วแถมกำลังจะแก่ก่อนมีเงินออมซะอีกด้วย

ถ้าไปดูตัวเลขค่าสัมประสิทธิ์ GINI ด้านความมั่งคั่ง (มาตรวัดการกระจาย ที่ค่าสูงสุด100 หมายถึงคนเดียวเอาไปหมด ถ้า0 แปลว่าทุกคนเท่ากันหมด)ตามtable 6.6 ก็ยืนยันว่าประเทศบ้านเรานั้นเหลื่อมล้ำมากที่สุดในโลก เพราะ GINI เราสูงถึง 90.2 ซึ่งผมว่าน่าจะเป็นสถิติโลกที่คงหาคนทำลายได้ยาก

เห็นตัวเลข หลายคนคงจะยังสงสัย ว่าวิธีการเก็บข้อมูล วิธีการสำรวจ วิธีการประเมินของ Credit Suisse น่าเชื่อถือและถูกต้องแค่ไหน หรือหลายคนอาจจะปลอบใจว่า นี่มันวัดละเอียดกันแค่ 40 ประเทศ ประเทศจนๆในซับซาฮาร่า หรือพวกประเทศสมบูรณาญาสิทธิราชโดยเฉพาะที่พวกชีคเป็นเจ้าของทุกอย่างมันน่าจะแย่กว่าเรานะ

อย่างรายงานบอกว่าความมั่งคั่งรวมของคนบ้านเรามีแค่ 505 billion หรือ 16.5 ล้านๆบาท ผมก็คิดว่ายังตกหล่นไปเยอะ เพราะเฉพาะทรัพย์สินทางการเงินรวมในตลาดก็มีขนาด 40 ล้านๆบาทแล้ว ไม่รวมอสังหาและทรัพย์สินอื่นๆ ก็หวังว่าที่ตกหล่นน่ะส่วนใหญ่เป็นของคนจนนะครับ (กลัวจะตรงกันข้ามซะละมากกว่า)

อย่างไรก็ตาม รายงานนี้ยืนยันว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของประเทศบ้านเรา เราอาจจะมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ทางการเงิน ทางการเมืองได้ดี แต่ถ้าไม่แก้เรื่องนี้ให้ได้ก็สุ่มเสี่ยงมากครับว่า เสถียรภาพทางสังคมจะมีปัญหา

ที่ยากที่จะกระจาย ก็เพราะว่ามันกระจุกแบบสุดๆนี่แหละครับ ใครคิดว่า”รัฐสวัสดิการ” จะช่วยได้ ก็ต้องระวังแหล่งที่มาของเงินที่จะเอามากระจายด้วยนะครับ เพราะคนส่วนใหญ่ (80%) เขาก็หาได้แทบไม่พออยู่แล้ว ครั้งจะเอาจากพวก 1% ก็ต้องฝ่ากระบวนการล็อบบี้อันทรงอิทธิพลของเหล่าเจ้าสัวให้ได้ และต้องระวังเขาหอบทรัพย์หนีออกนอกประเทศกันหมดด้วย บางคนบอกว่าเอาจากงบทหารแล้วกัน ทำอย่างนั้นก็เหมือนอยู่บ้านไม้เก่าๆโทรมๆแล้วยังไม่ยอมจ่ายเงินซื้อประกันไฟอีก …มันเสี่ยงนะครับ

ถามผมว่าอะไรคือคำตอบ ผมก็ขอนำเสนอว่าให้ใช้หลักการ ทุนนิยมเสรีใหม่+รัฐสวัสดิการ นี่แหละครับ สร้างทั้งความเติบโต พร้อมกับการกระจายไปด้วยกัน สังคมนิยม พิสูจน์แล้วว่าไม่เวอร์ค Keynesian กับเศรษศาสตร์พัฒนาการที่นำโดยรัฐก็พาเรามาได้แค่นี้แล้วก็ติดกับมาเป็นสิบปีอย่างที่เห็นน่ะครับ ถ้าดันทุรังกันแบบเดิมๆ แผนยุทธศาสตร์จะกลายเป็นแผนฉุดกระชากชาติไป

รายละเอียดเป็นอย่างไร ต้องสารภาพว่าผมก็ไม่รู้หมดหรอกครับ แถมการขับเคลื่อนก็ยากเย็น(ก็พวก1% มันไม่ยอมง่ายๆนี่ครับ) ผมเองก็พิสูจน์แล้วว่าทำไม่เป็น ทำไม่สำเร็จ …ไม่งั้นป่านนี้ไปลงสมัครรับเลือกตั้งแล้วครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก : Banyong Pongpanich

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here