โลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ “วัววิเศษ”เป็นได้ทั้งคำอวยพรและคำสาปแช่ง
บทความยาวมาก แต่เขียนเพื่อเตือนสติสำหรับคนที่เป็นคนบ้านเรา ในบทความนี้อาจจะแสลงใจ แต่เขียนเพื่อให้ชี้มุมมองไกลๆ บทความนี้ผ่านๆดูแล้วจะไม่เกี่ยวกับเรา แต่มันเกี่ยวกับเราโดยตรงเลยแหละ
มีฝรั่งคนหนึ่งเขียนจดหมายถึงหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ บอกว่าเขาและเพื่อนๆจะไม่กลับมาเที่ยวที่บ้านเราอีก และจะไม่แนะนำให้ใครมาที่ประเทศนี้อย่างเด็ดขาด เพราะเหตุผลนั่นก็คือ ตลอดเวลาที่เขาอยู่บ้านเรา ได้ถูก Taxi รุมรีดไถเงิน คิดราคาสูงกว่าปกติเป็น 10 เท่า ประมาณว่าคนขับแท็กซี่ก็รวมหัวกันดักหน้าดักหลังเหมือนกับปิดประตูตีแมว นักท่องเที่ยวก็ไม่มีทางเลือกก็จะต้องยอมจ่ายเงินให้กับพวกเขาไป และเขาได้พบว่าความแค้นใจกับบ้าน และได้สาสมกับคนขี้โกง
หลายปีที่ผ่านมานั้นผมได้ยินเรื่องราวร้องเรียนเช่นนี้เสมอ ผมอาศัยอยู่ในระแวกที่มีนักท่องเที่ยวมาก วิถีชีวิตที่จะต้องพึ่งพารถแท็กซี่ซึ่งทำให้มีประสบการณ์โดยตรง มันเป็นความจริงที่เกิดขึ้น เรากลุ่มหนึ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวที่บ้านเราด้วยหัวใจที่ร่าเริง และพาความเจ็บช้ำและเกลียดชังกลับไป
ซอยแถวบ้านผมเจ้าหน้าที่รัฐบางกลุ่มจัดสรรพื้นถนนสาธารณะให้เป็นที่จอดรถแท็กซี่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่อนุญาตให้รถของ ‘ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง’ จอด รถแท็กซี่เหล่านี้จอดดักหน้าดักหลังนักท่องเที่ยว ไม่รับผู้โดยสารคนไทย วัน ๆ คนขับก็ไม่ทำอะไร รอเหยื่อต่างชาติผ่านทางมาให้ตีหัว
แต่คนขับแท็กซี่ย่อมไม่สามารถกระทำเรื่องอย่างนี้ได้หากระบบรักษากฎหมายไม่ถูกใช้ฉ้อฉล
พฤติกรรมนี้แพร่ไปทุกหัวเมืองที่มีนักท่องเที่ยว และในรูปต่าง ๆ เช่น ราคาสองมาตรฐาน (Two-tiered pricing) ตั้งแต่สถานที่ท่องเที่ยว วัดวาอาราม ไปจนถึงโรงแรมและร้านอาหาร ทุกระบบออกแบบมาเพื่อปิดประเทศตีแมว
นี่เป็นเรื่องความโลภล้วน ๆ
ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา เราส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างเต็มลูกสูบ มันกลายเป็นเส้นโลหิตใหญ่ของเรา แต่คนโลภกลุ่มหนึ่งกำลังทำให้คนไทยทั้งประเทศเสียหาย ในโลกการสื่อสารไร้พรมแดน การพูดด้านลบของใครหรือประเทศใดกระทำได้ง่ายขึ้นและรวดเร็วขึ้น หากพฤติกรรมนี้ยังคงดำเนินต่อไป ถึงจุดจุดหนึ่งในสายตาชาวโลก คำว่า ‘ไทย’ จะแปลว่า ‘ขี้โกง’
นิทานโบราณเรื่องหนึ่งเล่าว่า ชาวนาคนหนึ่งได้ห่านวิเศษตัวหนึ่ง มันออกไข่ทองคำทุกวัน วันละฟอง ชาวนารู้สึกว่ารวยไม่ทันใจ จึงจัดการห่านเปิดท้องหวังเอาไข่ทองคำทั้งหมด ปรากฏว่าในท้องห่านว่างเปล่า ไม่มีไข่ทองสักใบเดียว
ชาวไทยอยู่ในแผ่นดินทอง ธรรมชาติสวยงาม เป็นห่านทองคำที่ประทานแก่เรา แต่หากเราเกิดความโลภ จะเอามาก ๆ เร็ว ๆ ไม่นานเราจะพบว่าไม่มีไข่ทองคำเหลืออยู่สักฟองเดียว
เห้อ..
ทางการตลาดมีคำศัพท์คำหนึ่ง cash cow หมายถึงสินค้าหรือบริการที่สร้างผลกำไรอย่างต่อเนื่องและ ‘ชัวร์’ เป็นรายได้หลักขององค์กร ยกตัวอย่างเช่น บริษัท ก. ผลิตเครื่องดื่มชนิดหนึ่ง ประชาชนจำเป็นต้องซื้อดื่มทุกวัน สินค้าชนิดนี้เป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัท สามารถใช้หากินไปได้ตลอด สินค้าเข้าข่ายนี้เรียกว่า cash cow
คำนี้มีที่มาจากวัวนม ซึ่งชาวบ้านสามารถรีดนมได้ทุกวันไปเรื่อย ๆ (cash = เงินสด cow = วัว) เป็นบ่อเงินบ่อทอง เป็นห่านวิเศษ
การท่องเที่ยวของไทยเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ เท่ากับร้อยละ 15 ของ จีดีพี. ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติต่อปีมากกว่า 25 ล้านคน ทำให้มีการจ้างงานราวสองล้านคน รายรับจากการท่องเที่ยวของไทยเป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคอาเซียน
นี่ไม่ใช่ cash cow ธรรมดา มันเป็นวัวเงินวัวทอง เป็น cash cow ยักษ์ที่มีมูลค่ามหาศาล สามารถขุดหากินไปได้อีกนานแสนนาน ตราบที่เราไม่ใช้มันเพราะความโลภเสียก่อน
แต่ทว่าทุกครั้งที่ฝูงปลาเน่ากระทำเรื่องแย่ ๆ เราก็กรีดแผลบนตัววัว ถ้าเราตอบแทนคุณวัวโดยทำร้ายมันอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ต่อให้เป็นวัววิเศษ ก็ต้องล้มสักวัน
น่าเหนื่อยใจ..
แทบทุกเช้าที่ผมเดินผ่านถนนสุขุมวิทช่วงต้น จะเห็นทางเท้าคลาคล่ำด้วยนักท่องเที่ยว ฝรั่งหลายคนยังก๊งเหล้าอยู่มาตั้งแต่คืนก่อน บ้างนอนกรนบนทางเท้าเหมือนสุนัขริมถนน นักท่องเที่ยวต่างชาติหลายคนกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับหญิงสาวไทยทั้งแท้และเทียมริมถนนสายใหญ่โดยไม่ยี่หระสายตาชาวบ้าน ขณะที่พระออกบิณฑบาตและเด็กไปโรงเรียน บางเช้าโสเภณีตบตีด่าทอกัน เป็นเหมือนภาพเหนือจริง แต่เกิดขึ้นทุกวัน ทำให้อดตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้ว่า เราอยากได้เงินจากนักท่องเที่ยวมากจนยอมลดมาตรฐานทางศีลธรรม จริยธรรม และความเป็นไทยไปแล้วหรือไม่
แน่ละ ทุกคนมีเสรีภาพที่จะกินเหล้าเคล้านารีได้ทั้งคืนถึงเช้า แต่ลองคิดในสเกลที่เล็กลง หากแขกที่มาเยือนบ้านเรากินเหล้าถึงเช้า ฟัดกันหน้าห้องนอนของเรา เราจะรู้สึกอย่างไร
เรามองการท่องเที่ยวอยู่แค่มุมเดียวคือมุมของเงินตราและ จีดีพี.
ทุกสิ่งดีมีด้านลบ วัวยิ่งมีขนาดใหญ่ กองมูลยิ่งโต ปัญหาแท็กซี่สูบโลหิตนักท่องเที่ยวเป็นเพียงส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็ง ยังมีปัญหาอื่นซ่อนอยู่ เช่น การขายตัว คุณภาพชีวิตประชาชน ชาวประมงเลิกหาปลา ชาวนาเลิกปลูกข้าว การทำลายธรรมชาติ เหล่านี้เป็นปัญหาในระยะยาว
คำถามที่ไม่ค่อยมีใครตั้งคือ คุณภาพชีวิตของชาวบ้านดีขึ้นหรือไม่จากการท่องเที่ยว และในระยะยาวประเทศดีขึ้นกว่าเดิมหรือไม่
ผมจำได้ว่าสมัยเด็ก หาดใหญ่เป็นเมืองท่องเที่ยว นักเดินทางจากมาเลเซียทุกวันหยุด ใช้จ่ายเต็มที่ เพราะเงินมาเลย์มีค่ากว่าเงินไทย ผลก็คือค่าครองชีพในหาดใหญ่สูงขึ้นทันที เพราะพ่อค้าแม่ค้าไม่อยากขายของด้วยราคาคนไทยอีก
เมืองไทยยุคที่การท่องเที่ยวขยายตัวขึ้นจากเดิมหลายร้อยหลายพันเท่า จาก tourism ธรรมดาเป็น mass tourism รถบัสขนนักท่องเที่ยวเข้ามาวันละหลายร้อยคัน ผลกระทบต่อชาวบ้านย่อมเลี่ยงไม่พ้น อาหารการกินแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น การสัญจรลำบากขึ้น หารถแท็กซี่ได้สักคันนับเป็นบุญวาสนาที่ผูกกันมาแต่ปางก่อน!
เราต้องถามตัวเองว่าท้ายที่สุดแล้ว cash cow ตัวนี้ทำให้คุณภาพชีวิตของคนไทยดีขึ้นกว่าเดิมไหม ค่าครองชีพสูงขึ้นไหม คนไทยเดือดร้อนจากการสัญจรเพราะคนขับแท็กซี่ปฏิเสธเราเนื่องจากตีหัวฝรั่งได้เงินมากกว่าหรือไม่ ฯลฯ
นี่แหละหนาชีวิต..
เมืองไทยโชคดีมี cash cow หลายตัวซึ่งประเทศอื่นไม่มี แต่เราต้องระวังไม่เป็น ‘สามล้อถูกหวย’ ถูกล็อตเตอรีแล้วเสียคน หรือได้รับมรดกแล้วหมดตัว
หากเราจะสร้างชาติวางรากที่ดีให้ลูกหลาน เราไม่มีทางเลือกนอกจากต้องมองไกลกว่าแค่รีดนมวัวไปเรื่อย ๆ เราต้องระวังไม่พึ่งการท่องเที่ยวเป็น cash cow ไปตลอดชีพ หรือเป็นรายได้หลักจนคนไทยทำอะไรไม่เป็น
สมมุติว่าวันหนึ่งเศรษฐกิจล่ม การเมืองวุ่นวาย หรือด้วยเหตุใดก็ตามที่ทำให้วัววิเศษป่วยหนัก นักท่องเที่ยวไม่มาเยือนเมืองไทย ประเทศก็อาจล้มได้เช่นกัน เพราะเราทำอะไรอื่นไม่เป็น
แต่จุดที่สำคัญกว่านั้นไม่ใช่เงินตรา หากคือคุณภาพของคนและชาติของเราในระยะยาว
คำถามคือ เรากำลังพึ่งพาการท่องเที่ยวจนทำอาชีพอย่างอื่นไม่เป็นแล้วหรือไม่
ทุกสังคมต้องมีองคาพยพแข็งแรง มีสัดส่วนคนใช้แรงงาน คนใช้สมอง นักคิด นักประดิษฐ์ นักวิทยาศาสตร์ เกษตรกร นักบวช ฯลฯ ในสัดส่วนที่สมดุล ไม่เช่นนั้นเราจะเป็นเด็กหัวโตแขนขาลีบ นอกจากนี้ยังต้องการรักษาสมดุลระหว่างวิถีชีวิตแบบเดิมกับนวัตกรรมใหม่ ๆ
เราต้องรักษาสมดุลระหว่างคนปลูกข้าวกับคนให้บริการนวดเท้ากับทัวริสต์ ระหว่างชาวประมงที่หาปลากับชาวประมงที่พานักท่องเที่ยวไปชมเกาะ ระหว่างเกษตรกรกับคนขับรถรับจ้างให้นักท่องเที่ยว
เราควรถามตัวเองว่า เราจะยืนบนโลกแบบไหนในสิบปี ยี่สิบปี ห้าสิบปีข้างหน้า เราอยากให้ลูกหลานเป็นคนแบบไหน เราอยากให้เมืองไทยเป็นประเทศที่ผู้คนฉลาดคิดค้นนวัตกรรมหรือฉลาดแกมโกง เป็นประเทศที่เป็นคนกำหนดเกมและผู้นำทาง หรือคิดอะไรไม่เป็น เดินตามเขาต้อย ๆ อย่างเดียว เป็นประเทศที่สร้างสิ่งใหม่หรือขายของเก่ากินไปเรื่อย ๆ
บางทีตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุดคือประเทศญี่ปุ่น ประเทศซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวงดงามไม่แพ้เมืองไทย แต่ประเทศนี้ไม่ทุ่มทรัพยากรมนุษย์จำนวนมากในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว กลับพัฒนาคนให้คิดค้นนวัตกรรมด้านต่าง ๆ และเป็นหนึ่งในชนชาติผู้นำโลก
บางทีหากคนไทยต้องการอยู่รอด ยืนหยัดอย่างมั่นคง ไม่ต้องพึ่งใคร ควรหรือไม่ที่เราจะมุ่งทิศไปในทางของความหลากหลาย พึ่งตัวเองได้อย่างครบวงจร? ทุกองคาพยพของสังคมแข็งแรง
เหล่านี้เป็นจุดที่คนไทยทั้งชาติควรรับรู้แล้วกำหนดทิศทางและชะตาชีวิตของเราเองและลูกหลานของเรา แทนที่จะปล่อยประเทศให้อยู่ในมือของคนเห็นแก่ตัว โลภ เขลา และสายตาสั้น ไล่ลงมาจากนักการเมืองถึงชาวบ้าน เพราะหากเราไม่ทำอะไร ช้าหรือเร็วเราจะพบว่านักท่องเที่ยวหดหายไปเหมือนปลาในทะเลซึ่งถูกชาวประมงมักง่ายใช้ใช้วิธีสารพัดทำให้ปลาหายไป
โลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรี ๆ ไม่มีอะไรดี ๆ อยู่ยั่งยืนตลอดกาล และวัววิเศษเป็นได้ทั้งคำอวยพรและคำสาปแช่ง
ขอขอบคุณ : วินทร์ เลียววาริณ