กินเจไม่ใช่การทำบุญ คำสอนดีๆ ของสมเด็จพระสังฆราช

0

กินเจไม่ใช่การทำบุญ คำสอนดีๆ ของสมเด็จพระสังฆราช

เทศกาลกินเจ หรือประเพณีที่ถือศีลไม่กิน เ นื้ อ สั ต ว์ เรียกได้ว่าเป็นประเพณีของชาวพุทธนิกายมหายานแบบลัทธิเต๋า ที่ถือร่วมปฏิบัติกัน 9 วัน โดยเริ่มตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำถึงขึ้น 9 ค่ำ ตามปฏิทินจีนของทุกปี

โดยมีจุดเริ่มต้นจากชาวเปอรานากัน เมื่อครั้งในอดีตหลายร้อยปีที่แล้ว ปัจจุบันนั้นเทศกาลกินเจจัดขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายประเทศ เทศกาลนี้ดีอย่างไร

1. เป็นการช่วยชีวิต โดยการไถ่ชีวิต

2. เป็นการเมตตาสัตว์ ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน

แต่ใครหลายคนคงจะเข้าใจผิดในเรื่องของการกินเจ การกินเจนั้นบุญไม่เกิด เพราะว่าเราไม่ได้ลงมือกระทำจริงๆโดยการช่วยชีวิตสัตว์ แต่เป็นเพียงเพราะเราคิดไปเอง พระเทวทัตเคยสอนให้กับชาวพุทธโดยการไม่กิน เ นื้ อ สั ต ว์

พระพุทธเจ้าปฎิเสธ พร้อมให้เหตุผลว่า

1. เ นื้ อ สั ต ว์ ไม่ใช่ของเหม็น อกุศลกรรมต่างหากที่เป็นของเหม็น

2. พระต้อง ควรเป็นผู้เลี้ยงง่าย

3. อนุญาติในการกิน เ นื้ อ สั ต ว์ ที่ -ไม่เห็น -ไม่รู้ -ไม่ใช่ เ นื้ อ ที่ทำโดยเฉพาะให้ตน พ ร า ก ชี วิ ต

4. อาหารเป็นแค่ของเลี้ยงกายไม่ให้จากไป อย่าสนใจมาก

การรับประทานอาหารมังสวิรัติเป็นบุญหรือไม่ ?

การที่จะวินิจฉัยว่าการกระทำอะไร เป็นบุญหรือไม่เป็นบุญนั้น ต้องอาศัยกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ว่าด้วย บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ อย่าง คือ

1. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน

2. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล

3. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา

4. อปจายนมัย บุญสำเร็จด้วยประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่

5. เวยยาวัจจมัย บุญสำเร็จด้วยการช่วยเหลือขวนขวายในกิจการงานต่างๆ

6. ปัตติทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ

7. ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ

8. ธัมมัสสวนมัย บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม

9. ธัมมเทสนามัย บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม

10. ทิฏฐุชุกัมม์ การทำความคิดเห็นของตนให้ตรง

เมื่อเทียบเคียงกับบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ วิธี แล้ว ไม่พบว่าการรับประทานอาหารมังสวิรัติ คือ รับประทานแต่พืชผักเป็นวิธีทำบุญข้อใดเลย จึงไม่นับว่าเป็นวิธีทำบุญในพระพุทธศาสนา ลองคิดดูว่าถ้าการกินพืช เช่น ผัก หญ้า ได้บุญ แล้วสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหาร เช่น วัว ควาย แพะ แกะ ก็ต้องได้บุญมากกว่ามนุษย์ เพราะสัตว์พวกนี้กินพืชตลอดชีวิตไม่กิน เ นื้ อ สั ต ว์ เลย

การกิน เ นื้ อ สั ต ว์ บาป หรือ ไม่

การที่จะวินิจฉัยว่าบาปหรือไม่บาปนั้น ต้องพิจารณาว่า การกิน เ นื้ อ สั ต ว์ ที่จากไปแล้ว เป็นการผิดศีลข้อปาณาติบาต หรือไม่ ศีลข้อปาณาติบาต คือ งดเว้นจากการพรากสัตว์ นั้นจะผิดศีลก็ต่อเมื่อประกอบด้วย องค์ ๕ คือ

๑. ปาโณ สัตว์มีชีวิต

๒. ปาณสญฺญิตา รู้ว่าสัตว์มีชีวิต

๓. วธกจิตฺตํ จิตคิดจะลงมือปลิดชีพ

๔. อุปกฺกโม พยายามที่จะปลิดชีพ

เมื่อครบองค์ประกอบทั้ง ๕ ข้อ จึงถือว่าเป็นปาณาติบาติ ผิดศีลข้อที่ ๑ เป็นบาป แต่ถ้าไม่ได้ลงมือพรากเอง และไม่ได้ใช้ให้ผู้อื่นพราก ก็ไม่เป็นบาป ตัวอย่าง เราไปจ่ายตลาด ซื้อกุ้งแห้ง ปลาดุกย่าง ปลาทู เ นื้ อ ห มู ฯลฯ เราได้มีส่วนร่วมในการพรากชีวิตสัตว์เหล่านั้นหรือไม่ สัตว์เหล่านั้นย่อมจากไปก่อนที่เราจะไปซื้อมาเป็นอาหาร ถึงเราจะซื้อหรือไม่ซื้อ สัตว์เหล่านั้นก็จากไปอยู่แล้ว เราไม่ได้มีส่วนทำให้จากไป

มีพุทธภาษิตบทหนึ่งว่า “นตฺถิ ปาปํ อกุพฺพโต” คือ “บาป ไม่มีแก่ผู้ไม่ทำ”

การกินผักก็อาจจะต้องพรากสัตว์ทางอ้อมไปด้วยเช่นกัน เพราะต้องไถดิน ใส่ปุ๋ย ใช้ยากำจัดแมลง อาจทำให้แมลงต่างๆ ไส้เดือนสิ้นได้ ถ้าแบบนี้บาปก็คงไม่ต้องทำสัมมาอาชีพกันเลย

หลวงปู่แหวนท่านบอกว่า

“ไอ่วัวควายกินหญ้าอยู่ตั้งนาน ไม่เห็นเป็นพระอรหันต์ซักตัว”

ขอขอบคุณ : พระสังฆราช

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here