วิธีผ่อนบ้าน ธนาคารไม่เคยบอก ผ่อนอย่างไรให้หมดไว ประหยัดเงินได้หลายแสน

0

วิธีผ่อนบ้าน ธนาคารไม่เคยบอก ผ่อนอย่างไรให้หมดไว ประหยัดเงินได้หลายแสน

การผ่อนบ้าน กู้เงินธนาคาร ถือเป็นหนี้ก้อนใหญ่ที่สุด ที่หลายคนจะต้องชำระทุกงวดไป ซึ่งโดยเฉพาะดอกเบี้ยที่จะต้องจ่ายในแต่ละครั้งนั้น ดอกเบี้ยในการกู้ซื้อบ้าน 1 หลัง คนเป็นหนี้ก็จะต้องผ่อนชำระยาวถึง 10 ปีขึ้นไป และแน่นอนว่าดอกเบี้ยบ้านหากจะเทียบเท่ากับราคารถยนต์ 1 คัน หรืออาจจะเป็น 20 ปีขึ้นไป ดอกเบี้ยที่เราจ่ายนั้นอาจจะทำให้เราสามารถซื้อบ้าน 1 หลังเพิ่มได้เลย

วันนี้เอง เรามีวิธีผ่อนบ้าน ให้ดอกเบี้ยไม่บานปลาย และวิธีปลดหนี้บ้าน ให้เราสามารถตั้งหลักปักฐานได้เร็วขึ้น และวิธีการง่ายๆเหล่านี้ จะช่วยให้เราสามารถผ่อนบ้านให้หมดไว แถมยังได้เงินคืนในบางส่วนอีกด้วย เรามาดูกันว่า เราใช้วิธีใดกัน

แต่ก่อนอื่นอยากให้คุณทำความเข้าใจก่อนว่า

– การที่เราผ่อนหมดให้ไวที่สุด คือการที่คุณรู้จักขอลดดอกเบี้ย

– การได้เงินคืนในบางส่วนคือ เงินประกันทั้งหลายที่คนถูกบังคับให้ทำตอนกู้ซื้อ ซึ่งธนาคารมักจะอ้างว่า จะได้อนุมัติผ่านได้ง่ายขึ้นถ้าหากเราทำประกัน

– หลายธนาคารมักจะบอกว่า สัญญาที่ทำมักจะห้ามปิด ห้ามโปะหนี้ก่อน 3 ปี แท้จริงแล้วเราสามารถนำช่องโหว่นี้มาขอลดดอกเบี้ยกับธนาคารได้

– ให้เราไปบอกกับธนาคารว่าขอลดดอกเบี้ย (หลังจากที่เราผ่อนครบ 3 ปี) ถ้าธนาคารตอบเราไม่ได้ คุณก็บอกแผนเขาไปเลยว่าจะขอ refinance ไปธนาคารอื่น การรีไฟแนนซ์คือ การให้ธนาคารอื่นมาปลดหนี้กับธนาคารเดิม แล้วคุณก็ไปเป็นหนี้กับธนาคารอื่นแทน

– เมื่อคุณบอกกับธนาคารไปแล้ว ธนาคารแทบทุกจะธนาคารก็จะพยายามรักษาลูกหนี้ไว้ โดยการ รีเทนชั่น retention ก็คือการลดดอกเบี้ยให้เรานั่นเอง

วิธีการ (ขอบอกเลยว่า ถ้าอ่านจบ เข้าใจแน่)

– ให้คุณไปติดต่อที่สาขาที่คุณกู้ เพื่อที่จะได้ทำการเจรจาขอลดดอกเบี้ย

– ถ้าคุณอยากได้เปรียบให้คุณพูดไปเลยว่า ขอลดดอกเบี้ยตรงๆไปเลย โดยจะต้องให้เหตุผลแค่ว่าคุณเป็นลูกค้าชั้นดี ไม่เคยมีประวัติชำระไม่ตรง และในตอนนี้ผ่อนมาครบ 3 ปีแล้ว จึงอยากจะขอลดดอกเบี้ย

– ถ้าหากไม่ได้ตั้งใจว่าจะรีไฟแนนท์ เนื่องจากไปเช็คดอกเบี้ย โฮมโลนสำหรับลูกค้าใหม่มาแล้ว 4-5 ธนาคาร แล้วดอกถูกกว่าที่จ่ายอยู่

– จากนั้นพนักงาน เขาอาจจะถามคุณว่าสนใจที่ไหนอยู่ คุณก็แกล้งเลือกบอกไปสัก 1 ธนาคาร ที่มีดอกต่ำที่สุดในกระดาษที่คุณจดมา

ปล. คุณต้องเช็คแล้วเขียนใส่กระดาษว่า ดอกเบี้ยแต่ละธนาคารเท่าไหร่ 4-5 ที่ อย่างที่บอกจริงๆ คุณจะต้องเช็คไปจริงๆ

– เนื่องจากมันจะทำให้คุณสามารถต่อรองได้มากขึ้น เพราะว่าธนาคารจะรู้เรตของธนาคารอื่นอยู่แล้ว แต่แค่แกล้งถามให้รู้ว่าคุณเช็คมาจริงๆ

– หลังจากนั้นธนาคารจะออฟเฟอร์ดอกเบี้ยใหม่ให้คุณ ซึ่งก็ยังพูดมาในราคาที่แพงกว่าของธนาคารที่คุณแจ้งไปเล็กน้อย

– เนื่องจากเขารู้ว่า ถ้าคุณรีไฟแนนท์ คุณก็ต้องมีค่าใช้จ่าย และบางคนก็มองว่ายุ่งยาก ธนาคารจึงคิดว่า ดอกเบี้ยลดให้แล้ว แต่ยังแพงกว่าหน่อยลูกค้าส่วนใหญ่ก็โอเคถือว่าซื้อความสะดวก

– เมื่อคุณได้ดอกเบี้ยใหม่ คุณก็ถามเขาได้เลยว่า ดอกเบี้ยใหม่เริ่มคิดให้ตั้งแต่เดือนไหน (คุณสามารถไปติดต่อก่อนครบ 3 ปี ล่วงหน้าซัก 1-2 เดือนได้เลย)

ปล. ดอกเบี้ยของธนาคารอื่น 4-5 ธนาคารที่ให้เช็คและจดไปว่าที่ไหนต่ำสุด ให้คุณทำการคำนวณว่า ในระยะเวลาอีก 3 ปีที่จะผ่อนข้างหน้าต่ำสุด ไม่ใช่ดูแค่ว่า 0% 3 เดือนแรก จากนั้น แพง ให้คุณลองคำนวณดูที่ 3 ปี

– เนื่องจาก หลังจากนั้นทุกๆ 3 ปี คุณก็จะใช้ช่องโหว่เดิมมาขอลดดอกเบี้ยได้อีก (จึงขอแนะนำให้ดูที่ 3 ปี)

– แต่ว่ายอดหนี้ของคุณจะต้องเกิน 1 ล้านบาทตอนไปขอลดดอกเบี้ย (ซึ่งแล้วแต่ธนาคาร คุณลองเช็คดูก่อน)

– บางธนาคารก็มีการดูท่าทีคุณ เพื่อที่จะประเมินว่าควรให้ดอกเบี้ยใหม่เท่าไหร่ ถ้าหากคุณไม่รู้อะไรเลยก็จะลดได้ไม่เยอะ

– ยกตัวอย่างในกรณีของเพื่อนเคยเจอแบบว่า พอพูดว่าจะรีไฟแนนท์ เขาเช็คดูว่าเป็นหนี้บัตรเครดิตหรือไม่ จนเพื่อรต้องบอกว่า หนี้บัตรตั้งใจปิดก่อนรีไฟแนนท์อยู่แล้ว เนื่องจากรู้ว่าต้องใช้ในการพิจารณ์สินเชื่อบ้าน ยังไงก็จะปิดอยู่แล้ว เลยได้ลดดอกเบี้ยมา

– ถ้าหากเขารู้ว่าคุณไม่มีทางเลือกเป็นหนี้บัตรเครดิต อาจจะยากในการขอสินเชื่อจากธนาคารใหม่ ธนาคารก็อาจจะดึงเกมส์ โดยไม่ลดให้ หรือลดให้ไม่มาก เพราะรู้ว่าที่จริงแล้วคุณไม่มีทางเลือก

– ฉะนั้นก่อนที่คุณจะไปต่อรอง คุณควรชำระบัตรให้หมด หรืออย่างน้อยให้บัตรเครดิตของธนาคารนั้นเป็น 0 ไปรวมหนี้ไว้ที่บัตรของธนาคารอื่นก่อน

ได้รับเงินคืน เมื่อผ่อนหมด

– ถ้าหากในกรณีที่คุณโดนบังคับให้ทำประกันพร้อมกู้ซื้อบ้าน และคุณได้ทำสัญญากู้บ้าน

– ยกตัวอย่างเช่น ทำสัญญากู้บ้าน 30 ปี แต่คุณผ่อนจริง 17 ปีหมด คุณก็จะสามารถติดต่อขอเคลมเงินประกันคืนได้

– โดยให้คุณให้เหตุผลกับธนาคารว่า คุณได้คุ้มครองแค่ 17 ปี ที่เหลืออีก 13 ปีไม่ได้มีการคุ้มครอง เนื่องจากผ่อนบ้านหมดแล้ว

– ฉะนั้น คุณจึงขอเคลม 13 ปีที่ไม่ได้คุ้มครองคืนเป็นเงิน

– การขอเคลมคืนอาจจะได้มาไม่มาก ประมาณไม่กี่หมื่น คุณสามารถสอบถามธนาคารได้เลยว่าได้คืนเท่าไหร่ และธนาคารอาจจะยื่นข้อเสนอให้กับคุณว่า ถ้าไม่รับคืนก็จะคุ้มครองต่อ

– โดยส่วนมากการคุ้มครองมักจะเป็นการได้เงิน ถ้าหากคุณลาโลกไป ซึ่งส่วนใหญ่แล้วธนาคารจะทำประกันแบบนี้ให้

– เนื่องจาก ธนาคารกลัวว่าคุณจะจากไปก่อนผ่อนบ้านหมด ซึ่งผู้ที่ได้ก็ไม่ใช่คุณ แต่เป็นผู้รับประโยชน์ในสัญญากรมธรรม์

– ซึ่งถ้าหากคุณให้เขาคุ้มครองต่อ คุณก็ควรจะแจ้งชื่อผู้รับผลประโยชน์ใหม่

– เนื่องจาก ผู้รับประโยชน์เก่าในกรรมธรรม์ก่อนที่คุณจะปิดบ้านหมดคือ ธนาคาร

– ฉะนั้น คุณลองชั่งน้ำหนักดูว่า คุณจะเคลมเอาเงินคืน หรือให้ธนาคารคุ้มครองต่อไป

ภาพ / เรียบเรียงโดย : Postsara

ขอขอบคุณ : ประสบการณ์จริงของผู้ซื้อบ้าน

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here