รวยแล้วอย่าลืมตัว เรื่องจริงของเศรษฐีที่ไม่เหลืออะไรเลย เล่าชีวิต 2 นาที

0

รวยแล้วอย่าลืมตัว เรื่องจริงของเศรษฐีที่ไม่เหลืออะไรเลย เล่าชีวิต 2 นาที

ชีวิตของเรานั้นอยู่บนต้องการที่จะมีความสุขสบาย ทั้งหน้าที่การงาน เงินทอง ครอบครัว แต่หากสิ่งเหล่านี้ไม่รู้จักประมาณตน ไม่รู้จักคำว่าพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีแล้วก็ มันก็จะจบ บางคนรวยมีเงินมากมาย อย่าลืมตัวเองแปลว่า ลืมตัวว่าไม่รู้จักพื้นฐานของตัวเอง ว่าก่อนหน้านี้เคยเป็นแบบไหนมาก่อน ใช้ชีวิตแบบไหนมาก่อน

มองคนอื่นไม่ดีต่างๆนานา ว่าคนอื่น แต่อย่าลืมว่าคนรวยได้ก็จนได้เช่นเดียวกัน หากเป็นคนที่ไม่รู้จักใช้ชีวิต ไม่มีใครที่จะโชคดีไปตลอดชีวิตหรอก ในวันนี้เราจะมาเล่าเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องสั้นๆ 2 นาที ที่นำมาเล่าให้กับทุกคนฟังในวันนี้ เป็นเรื่องจริงของเศรษฐีตกอับ ที่มีเงินมากมาย แต่สุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรเลย

ชีวิตของคนเรามีขึ้นมีลงอยู่เสมอให้จำไว้ว่าอย่าไปดูแคนใคร

บทเรียนชีวิตราคาแพง เรื่องเล่าจากเรื่องจริงที่ได้เตือนใจหลายๆคนว่า “รวยแล้วอย่าทะนงตัวและลืมตัว” “ลำบากตอนแก่เป็นสิ่งที่น่าอนาถใจที่สุด” อดีตเจ้าของที่ดินมากกว่า 500 ไร่ท่านได้เล่าให้ฟังเอาไว้ว่า

เมื่อแต่ก่อนผมเป็นคนที่รวยมาก มีที่ดิน 500 ไร่ แทบจะทุกเขตของกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ทั่วประเทศ ตอนนั้นเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว เวลาผมไปไหนมาไหนผมมักจะพกเงินติดกระเป๋า ไม่ว่าจะกินจะดื่มผมใช้ครั้งละแสน ทำมาหากินค้าขายไม้ได้เงินดีจริงๆ ผมส่งลูกๆไปเรียนเมืองนอกหมด ไม่ต้องมานั่งทำงาน ให้เรียนอย่างเดียว

เมียผมก็ชอบเล่นหุ้น หุ้นในช่วงนั้นก็ขึ้นเอาขึ้นเอา เรามีเงินสดกันหลายร้อยล้าน ผมมีญาติคนหนึ่งเดือดร้อนมาก เข้ามาหยิบยืมเงินผม แต่เขาก็โดนผมด่าซะไม่มีชิ้นดีเลยทีเดียว แต่ผมก็ให้เงินเขาไปแสนนึงนะ แล้วก็บอกว่าไม่ต้องมาให้เห็นหน้าอีก เขาก็รับเงินพร้อมกับน้ำตา ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าเขาจะรู้สึกยังไง

ปีต้มยำกุ้งผมไม่สะดุ้ง ปีน้ำท่วมน้ำพัดทุกอย่างไปจากชีวิตผมจริงๆ เมื่อผมคิดการใหญ่ตั้งโรงงานอะไหล่ที่อยุธยา ไม่ได้ทำไม้แล้ว รถผม 19 คัน บ้านอีก 5 หลัง ที่ดินทั้งหมดและเงินสดที่เคยมี แฟนผมเล่นหุ้นเจ๊งไปสี่ร้อยกว่าล้าน ลูกๆทำธุรกิจก็หมดตัวขาดทุนย่อยยับ ภายใน 2 ปีสิ่งที่ผมมีมันหายไปเหลือไว้เพียงหนี้สินสองร้อยกว่าล้าน

ปัจจุบันผมคือบุคคลล้มละลาย เช่าห้องแถวอยู่พอได้ขายก๋วยเตี๋ยวประทังชีวิตรอความการจากไปไปวันๆ เมียผมก็ไม่มีกระจิตกระใจทำอะไร ลูกๆ ผมไม่เคยเห็นหน้า ตอนนี้ผมอายุ 76 ผมต้องยกหม้อก๋วยเตี๋ยว ล้างจาน

ทุกวันนี้ผมปลงได้แล้วนะ ผมมาลำบากตอนแก่ เงินค่าเช่าห้องนี้ผมไปยืมกับคนที่ผมเคยด่าเขาแล้วให้เขาไปแสนนึง ลูกเขายื่นเงินให้ผมแสนห้าแล้วบอกผมว่า

“พ่อผมบากหน้าไปยืมเงินคุณลุงเพราะตอนนั้นผมเข้าโรงพยาบาล พ่อนั่งร้องให้ คุณลุงด่าแล้วโยนเงินให้เหมือนหมา ลุงบอกว่าจะตีพ่อ พ่อก็ยอมเพราะชีวิตลูกมีค่ามากกว่าสิ่งใด ต่อให้ทำอะไรก็ยอม ร่างกายและจิตใจพ่อก็ยอม ถ้ามีเงินจะให้คืนคุณลุง แสนนี้ผมคืน ห้าหมื่นคือดอกเบี้ย เราไม่มีหนี้บุญคุณกัน แต่ถ้าคุณลุงลำบากคุณลุงมายืมกับผมๆจะให้กู้ ผมจะไม่ด่าคุณลุงเหมือนที่คุณลุงด่าพ่อผม จริงถ้าไม่มีเงินคุณลุงผมคงลาโลกไปแล้ว แต่ถ้าพ่อผมไม่อดทนเพื่อแลกชีวิตผม ผมก็ยอม ผมทำตามที่พ่อบอกแล้ว ลูกพ่อดูแลพ่อ ส่วนลูกคุณลุงผมไม่รู้ ก ร ร มของใครของมัน”
ผมเดินร้องไห้มาถึงบ้านเอาเงินจ่ายค่าเช่าห้องแถว ลงทุนมีเงินเก็บไว้ 30,000 บาท และผมเข้าใจความรู้สึกของคำว่า “ก ร ร มนั้นตามสนอง”

หลานไม่ได้ด่าผมแต่หลานพูดความจริง เพียงแต่ผมรับความจริงไม่ได้ แต่ตอนนี้ผมมีความสุขดีนะ พระ แม่ชี ขอทาน มากินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านผม ผมไม่คิดเงิน ตอนผมมีเยอะๆ ผมเบื่อคนบอกบุญ ผมโกหกเขาว่านับถือคริสต์ ผมไม่เคยทำบุญ

ผมเที่ยว ผมกิน ผมมีผู้หญิง ตอนนี้ผมหมดตัวมีหนี้สิน สิ้นเพื่อน ไร้ลูก ผมถึงได้ฟังธรรมะ เข้าวัดเป็น รู้จักทาน อีกหน่อยก็คงจากไป ผมห่วงแค่เมียผม ผมภาวนาให้เมียผมไปก่อนผม เพราะถ้าผมจากไปก่อนเมียผม ผมจะจากไปตาไม่หลับ

เรื่องราวนี้เป็นเรื่องที่สอนใจให้กับคนในยุคปัจจุบันได้ดีเหลือเกิน ความรวยมีเงินมากเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนหากเราไม่รู้จักใช้เงินหากเราไม่รู้จักช่วย และแบ่งปันคนอื่น สักวันหนึ่งมันก็จะหมดไปแบบไร้ค่า หลายๆคนที่ทะนงตนและลืมตัวให้ใช้เรื่องจริงเหล่านี้เป็นเรื่องเตือนใจตัวเอง เตือนสติหากคิดจะทำอะไรควรคิดให้ดีเพราะไม่มีอะไรที่แน่นอน

ผู้เขียนระบุชัด ไม่ขอเปิดเผยตัวตนของคนในเรื่อง พร้อมยืนยันว่า ทั้งหมดนี้คือข้อเท็จจริง

ขอขอบคุณ : เพจคำคม ชีวิต ธรรมะ

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here