“คน 3 คนในตัวเรา” ข้อคิดดีๆ อ่านแล้วเข้าใจชีวิตที่เป็นอยู่มากขึ้น

0

“คน 3 คนในตัวเรา” ข้อคิดดีๆ อ่านแล้วเข้าใจชีวิตที่เป็นอยู่มากขึ้น

แน่นอนว่าการใช้ชีวิตของคนเรานั้น มันไม่ได้มีแค่ตัวเราและคนในครอบครัวเพียงอย่างเดียว จำเป็นที่จะต้องมีคนรอบข้าง คนรู้จักอีกมาก คำพูดซุบซิบนินทา คำพูดให้ร้ายต่างๆมันเป็นสิ่งธรรมชาติที่เราจะต้องพบเจอ

และในวันนี้เราได้มีนิทานให้ข้อคิดเรื่องหนึ่งที่เชื่อได้ว่าหากใครได้อ่านจนจบจะทำให้คุณเข้าใจชีวิตที่เป็น เข้าใจธรรมชาติของคนได้มากขึ้น และคุณจะมีความสุขในการใช้ชีวิตได้มากขึ้นอย่างแน่นอน

ณ วัดบ้านไร่แห่งหนึ่ง

ได้มีหลวงตาที่เพิ่งกลับมาจากบิณฑบาต และได้เห็นลูกศิษย์วัดนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น จึงได้เข้าไปถามไถ่ว่าเป็นอะไรและลูกศิษย์ได้ตอบกลับมาว่า

“ผมถูกใส่ร้าย ผมไม่ได้ขโมยเงินในหอพัก แต่ผมแค่เข้าไปทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถูบ่อยๆ และเมื่อเงินหาย ทุกคนก็กล่าวหาว่าผมเป็นขโมย ไม่มีใครเชื่อผมเลย”

เมื่อหลวงตาได้ยิน จึงนั่งรออยู่ข้างๆ พยักหน้าเข้าใจ และได้สอนลูกศิษย์คนนั้นว่า

“เจ้ารู้ไหม ในตัวเรามีคนอยู่สามคน คนแรกคือ คนที่เราอยากจะเป็น คนที่สองคือ คนที่คนอื่นคิดว่าเราเป็น คนที่สามคือ ตัวเราที่เป็นเราจริง ๆ” ลูกศิษย์หยุดร้องไห้ นิ่งฟังหลวงตา และหลวงตาก็กล่าวต่อไปว่า

“คนแรกคือ คนที่เราอยากจะเป็นนั้น มันเป็นปกติของคนเราล้วนมี ความฝัน ความทะยานอยากได้ อยากเป็นตามประสาปุถุชนทั่วไป ซึ่งไม่ใช่สิ่งเ ล วร้าย บางครั้งความฝันก็เป็นสิ่งสวยงาม เป็นพลังที่ทำให้เราก้าวเดิน เช่น บางคนอยากเป็นนักร้อง เป็นนักมวย เป็นดารา ถ้าถึงจุดหมายเราก็จะรู้สึกว่าโลกนี้ช่างสว่างไสวสวยงาม ดังนั้นเราควรมีความฝันไว้ประดับตน เพื่อเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจ”

“มาถึงไอ้ตัวที่สอง จะเป็นเราแบบที่คนอื่นยัดเยียดให้เป็น บางครั้งก็ยัดเยียดว่าเราดีเลิศ จนเราอาย เพราะจิตสำนึกเรารู้ดีว่ามันไม่จริงหรอก แต่เราก็ยิ้มรับ แต่บางครั้งไอ้ตัวที่สองนี้ก็มหาอัปลักษณ์ จนไม่อยากจะนึกถึง ซ้ำร้ายยังเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะมันเป็นโลกในมือคนอื่น มันเป็นสิ่งแปลกปลอมที่คนอื่นยื่นให้” หลวงตาได้ยกตัวอย่างต่อไปว่า…

“อย่างคนขับสิบล้อจอดรถอยู่ข้างทางเฉยๆ เช้ามาพบคนใต้ท้องรถ ก็ต้องขับรถหนี ทั้งที่คนที่นอนนิ่งอยู่ตรงงนั้น ถูกรถชนอีกฝั่งแล้วดันถลามาใต้ท้องรถ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนขับสิบล้อ บางคนก็ตัดสินไปแล้วว่าเขาเป็นคนทำ”

“สมัยที่หลวงตา ยังไม่ได้บวชเคยไปส่งเพื่อนผู้หญิงที่มีผัวแล้ว เพราะเห็นว่าบ้านเป็นซอยเปลี่ยว ส่งได้สองครั้งก็เป็นเรื่อง ชาวบ้านซุบซิบนินทา หาว่าเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน

คนที่เห็นนั้นมองคนอื่นด้วยใจที่หยาบช้า ไร้วิจารณญาณ ใจแคบ มองคนอื่นผ่านกระจกสีดำแห่งใจตัวเอง คนเหล่านี้มีอยู่ทั่วไปในสังคม”

“เจ้าต้องจำไว้นะ ทุกครั้งที่เราว่าคนอื่นไม่ดี ก็เท่ากับเราประจานความมืดดำในใจตัวเองออกมา เห็นสิ่งไม่ดีของใครจงเตือนตัวเองว่าอย่าทำ อย่าเลียนแบบ นั่นแหละวิถีของนักปราชญ์ ถ้าเอาไปว่าร้ายนินทาเรียกว่าวิถีของคนพาล”

“แล้วเราต้องทำตัวอย่างไรละครับ ในเมื่อเราต้องเจอคนเหล่านั้นเรื่อยๆ”

ลูกศิษย์หยุดร้องไห้แล้วเริ่มสนทนาโต้ตอบหลวงตา

“เจ้าต้องทำความเข้าใจจิตใจมนุษย์ เรียนรู้ว่าความเข้าใจผิดเกิดขึ้นได้ เราห้ามใจใครไม่ได้ สิ่งใดที่เราไม่ได้ทำ ไม่ได้คิด ไม่ได้เป็น แต่คนอื่นคอยยัดเยียดให้เรา เราก็ไม่ควรให้ความสำคัญ

เพราะเราสัมผัสได้ว่าสิ่งนั้นไม่มีอยู่จริง ใจเราควรสงบนิ่ง ยังไม่ต้องชำระใจคนอื่นต่างหากที่ควรซักฟอกให้ขาวสะอาดกว่าที่เป็นอยู่ เขาเหล่านั้นเป็นบุคคลที่น่าสงสาร “มีเวลามองคนอื่น แต่ไม่มีเวลามองตัวเอง” จงแผ่เมตตาให้เขาไป เข้าใจใช่ไหม”

“เข้าใจครับหลวงตา” เด็กน้อยยิ้มมีความสุขอีกครั้ง

ขอบคุณข้อมูลจาก : roongee

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here