เมื่อก่อนเราไม่เคยรู้เลย มัดตาสังข์สามเปาะ

0

เมื่อก่อนเราไม่เคยรู้เลย มัดตาสังข์สามเปาะ

เราไม่รู้เลยว่าในวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้จริงๆเลยว่าในวันนี้หรือวินาทีต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น รู้เพียงว่าในทุกวันนี้จะต้องสร้างบุญบารมี เพื่อที่จะเป็นการเติมกุศลผลบุญให้กับตัวของเราเองและคนรอบข้าง หากเกิดชาติหน้าฉันใดจะได้มีกินมีใช้ไม่ลำบาก เชื่อว่าหลายคนคงยังไม่รู้กับสิ่งที่กำลังจะบอกต่อไปนี้ ลองไปดูกันว่า เรารู้บ้างหรือยัง

1. มัดตราสังข์สามเปราะ มัดที่คอ หมายถึง บ่วงรักลูก มัดที่มือ หมายถึง บ่วงรักสามี – ภรรยา มัดตรงข้อเท้า หมายถึง บ่วงรักทรัพย์สมบัติ ติดอยู่สามบ่วงนี้ ไปนิพพานไม่ได้ ต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏไม่มีจบสิ้น

2. เคาะโลงรับศีล ไม่ใช่ให้คนที่จากไปมารับศีล แต่เพื่อเป็นการบอกคนที่มาร่วมงานว่า อย่าเอาแต่มัวประมาทขาดสติ ไม่สนใจในหลักธรรมคำสอน เมื่อลาโลกไปแล้ว หมดโอกาสทำความดี จะเคาะจนโลงแตกก็ลุกขึ้นมาไม่ได้

3. สวดอภิธรรม มักสวดเป็นภาษาบาลี คนเป็นฟังไม่รู้เรื่อง จึงนึกว่าสวดให้คนที่จากไป แต่จริงๆ แล้วเป็นการสวด เพื่อสอนคนที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะได้นำหลักธรรม ไปปฏิบัติให้เกิดผลดีในชีวิตประจำวัน ดังนั้นแม้จะฟังไม่เข้าใจแต่เพื่อให้การฟังสวดอภิธรรมเกิดผล ควรสำรวมส่งจิตไปอยู่กับเสียงพระสวด ให้จิตสงบนิ่งอยู่กับเสียงพระสวดก็จะเกิดสมาธิจิตได้

4. บวชหน้าไฟ มักเข้าใจกันว่า เป็นการบวชจูงคนจากไปขึ้นสวรรค์ ความจริงนั้น ไม่ใช่ เพราะการบวชหน้าไฟ เป็นการปลงธรรมสังเวชต่อการเกิด แก่ เจ็บ และไปในที่สุด มนุษย์ก็มีเท่านี้ ทำให้เกิดการเบื่อหน่ายต่อชีวิตในโลกียวิสัย ไม่ประสงค์จะอยู่ในเพศฆราวาส แล้วพอใจในสมณะเพศ มุ่งปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น เข้าสู่มรรคผลนิพพาน

5. การนิมนต์พระจูงออกข้างหน้า เพื่อจะสอนคนที่ยังอยู่ให้ได้สำนึกว่าตอนที่ยังอยู่ ต้องเดินตามหลังพระ หมายความว่าให้ดำเนินชีวิตตามพระธรรม คำสั่งสอนพระพุทธเจ้านั่นเอง จึงจะอยู่ดีมีสุข มีความเจริญก้าวหน้า

6. การเวียนซ้าย 3 รอบ หมายถึง การเวียนว่ายอยู่ในภพทั้งสามอันมี กามภพ รูปภพ อรูปภพ ด้วยอำนาจกิเลสตัณหาอุปทาน ก็จะเป็นทุกข์ไม่จบสิ้น ฉะนั้นต้องทวนกระแสกิเลส เป็นการสอนธรรมชั้นสูง จึงได้พาเวียนซ้าย

7. การใช้น้ำมะพร้าวล้างหน้า เพื่อชี้ให้เห็นว่าน้ำมะพร้าวเป็นน้ำสะอาด บริสุทธิ์ ผู้เข้าสู่มรรคผลนิพพาน ต้องชำระจิตให้สะอาดด้วยน้ำทิพย์จากพระธรรม

8. การแปรรูป หลังจากเผาแล้ว มีการเก็บอัฐิ และมีการเขี่ยขี่เถ้าให้เป็นรูปร่างกลับไปกลับมาเพื่อจะบอกว่าได้กลับ ชาติใหม่แล้วตามวิบากของกรรมต่อไป

เมื่อมีลาภก็เสื่อมลาภ มียศก็เสื่อมยศ มีสรรเสริญก็มีนินทา

มีสุขแล้วก็มีทุกข์เป็นสัจธรรมของมนุษย์ที่ใครจะหลีกลี้หนีมิได้

มันก็เหมือนที่ว่า มีได้แล้วก็มีเสีย มีสมหวังแล้วก็มีผิดหวัง

มีดีใจแล้วก็มีเสียใจเป็นของคู่กับมนุษย์

อย่ามัวแต่นิยมชมชอบกับอำนาจวาสนาที่ได้

เมื่อหลงระเริงเราจะทุกข์ทรมานร่ำไป จะต้องทำใจให้เป็นกลาง

แล้วเราจะอยู่บนโลกใบนี้อย่างไม่ทุกข์

อย่าไปยึดมั่นถือมั่นกับมันมากนักอย่างที่เห็น อย่างที่เป็น

วันหนึ่งมันก็ไม่ใช่ ยึดมั่นทางธรรม เข้าหาพระเป็นหลักชัยก็จะไปได้ดี..

บุญกุศลนี้ ข้าพเจ้าขอยกให้เป็นวาสนา บุญส่งแก่ผู้แบ่งปันบทความบุญนี้

ขอขอบคุณ : นพดล อุ่นตา

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here