9 บทเรียน ของคน 600 คน ว่าด้วยสิ่งที่เขาอยากกลับไปบอกตัวเองในวัย 30
ในวันนี้มีบทเรียนสำหรับคนที่อายุมากกว่า 30 อยากจะมาบอก เป็นบทเรียนที่เกี่ยวกับประสบการณ์ อยากจะกลับไปบอกตัวเองในวัย 30 ปี
1. เริ่มต้นเก็บเงินสำหรับวัยเกษียณได้แล้ว ก่อนที่มันจะสายเกินไป เป็นคำแนะนำที่พบบ่อยที่สุด ว่าให้เริ่มต้นวางแผนการเงินของตัวเอง และวางแผนชีวิตหลังเกษียณได้แล้วตั้งแต่วันนี้เลย เรื่องการเงินมันไม่ใช่เรื่องตลกเลยใช่มั้ย ทุกวันนี้ต้องกินต้องใช้ ถ้ายังไม่ได้หายใจออกออกมาเป็นแบงก์ร้อยแบงก์พัน เรื่องนี้เราต้องดูแลให้ดี นอกจากนี้พอจะสรุปเป็นข้อย่อยๆ ได้อีกว่า
1.1 ช่วงอายุตอนนี้เป็นช่วงที่ควรให้ความสำคัญกับการใช้หนี้ให้มากที่สุด
1.2 แยก เงินสำรอง ไว้ เผื่อกรณีฉุกเฉิน เพราะมันจะมีเรื่องหลอนๆ ที่เราต้องพบเจอ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสุขภาพ ทั้งของตัวเอง ของครอบครัว การขึ้นโรงขึ้นศาล การหย่าร้าง หรือเรื่องการผิดใจกันในเรื่องธุรกิจ หรืออื่นๆ ที่ยากจะคาดเดา
1.3 แบ่งสัดส่วนของรายรับทุกเดือนออกมาแยกเก็บต่างหาก เป็นบัญชีเงินออมของเราไว้
1.4 อย่าสุรุ่ยสุร่าย และอย่าเพิ่งซื้อรถ ซื้อบ้าน ถ้ายังไม่มีความสามารถพอที่จะจ่ายในอัตราดอกเบี้ยของรายจ่ายพวกนั้น
1.5 อย่าลงทุนในสิ่งที่คุณยังไม่เข้าใจมันดีพอ มีคนนึงบอกว่า ถ้าคุณมีหนี้มากกว่า 10 % ของรายรับทั้งหมดของปีนั้น ชั้นว่ามันก็ค่อนข้างเยอะแล้วนะ เลิกใช้จ่ายอะไรที่มันไม่จำเป็น แล้วก็เริ่มเก็บเงินได้แล้ว
ส่วนอีกคนบอกว่า ชั้นจะเก็บเงินฉุกเฉินไว้ให้มากกว่านี้ เพราะเรื่องไม่คาดฝันที่มันเกิดขึ้นกับเค้านั้น มันแทบทำให้ชีวิตเค้าล้มละลาย และการเกษียณอายุไปแล้วรอคอยแค่เงินสนับสนุนจากรัฐบาล หรือสังคมสงเคราะห์อะไรพวกนี้ ก็ไม่ได้เพียงพอที่จะทำให้มีชีวิตที่ไร้กังวลได้
สิ่งสำคัญคือ เก็บให้ไว แล้วก็เก็บให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อชีวิตหลังเกษียณที่มั่นคง ขอแค่เริ่มตั้งแต่ตอนอายุเท่านี้เลย
2. ดูแลสุขภาพได้แล้ว ลุงทอม อายุ 55 ปีบอกไว้ว่า ใจเราเนี่ย มันจะรู้สึกว่าตัวเองอ่อนกว่าอายุจริง 10-15 ปี ในขณะที่สุภาพของเราอะ ไปเร็วกว่าที่เราคิดไว้มาก แล้วมันก็สังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงของมันได้ยากมาก ไม่ใช่เพราะเรามองไม่เห็นนะ แต่เราไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นต่างหาก
ส่วนตัวเรื่องนี้ผมเห็นด้วยนะ เคยเป็นเหมือนผมมั้ย ตอนที่เราอยู่ป.6 พอเราเห็นพี่ม.1 เราก็รู้สึกว่าเขาโตมาก พอเข้ามัธยม เห็นพี่ม.6 ก็รู้สึกว่า เออ แก่แล้วอ่ะแบบนั้น ยิ่งพอเข้ามหาลัย เห็นคนเรียนจบแล้วยิ่งไปกันใหญ่ แต่พอเราเดินทางมาถึงช่วงอายุนั้นจริงๆ เราจะบอกกับตัวเองเสมอว่า เราไม่เห็นโต หรือแก่แบบที่เราเห็นคนอื่นตอนนั้นเลย
อันนี้ไม่รู้เรียกว่าไม่ยอมรับความจริงรึเปล่านะ 555 เราต่างรู้นะว่าเราควรรักษาสุภาพ กินดี อยุ่ดี นอนหลับให้เพียงพอ นั่นนู่นนี่ พวกเขาต่างอยากให้เรารู้เอาไว้ว่า สิ่งที่เราปฏิบัติกับตัวเองในวันนี้ ล้วนมีผลต่อตัวคุณเองแน่นอนน อาจจะไม่ใช่ภายในวันนี้ หรือปีนี้
แต่มันจะค่อยๆออกผลในแบบที่คุณแทบจะไม่ทันสังเกต เขาบอกว่า ช่วงสามสิบนี่แหละ คือช่วงถดถอยของร่างกายเราแล้ว และนี่ก็ไม่ใช่คำแนะนำจากคุณแม่ที่บอกให้ลูกๆ กินผักเยอะๆ นะ แต่มันต่างเป็นข้อความของ ผู้ที่รอดจากโรค ม ะ เ ร็ ง โรค หั ว ใ จ โรคหลอดโลหิตตีบโรคความดัน และอาการป่วยต่างๆ
ทุกคนพูดแบบเดียวกัน ถ้าย้อนกลับไปได้ ฉันจะกินอาหารที่ดี และออกกำลังกาย ข้ออ้างต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ไม่ใช่ผลดีเมื่อเวลาผ่านไปถึงตอนนั้น
3.อย่าไปเสียเวลากับคนที่ไม่ได้ใส่ใจคุณ
Hayley อายุ 37 ปี บอกเอาไว้ว่า ให้เราหัดที่จะปฏิเสธ และพูดคำว่า ไม่ ออกไปบ้าง ถ้าต้องไปร่วมกิจกรรมหรือพบปะกับคนที่สุดท้ายแล้วไม่ได้ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น หลังจากดูแลสุขภาพทางการเงิน สุภาพของตัวเองแล้ว ก็ต้องมาดูแลสุภาพอารมณ์หรือจิตใจของตัวเองด้วย
“ อย่าทนคนที่ปฏิบัติต่อคุณไม่ดี อย่าทนพวกเขาด้วยเหตุผลทางการเงิน อย่าทนพวกเขาด้วยเหตุผลทางอารมณ์ อย่าทนกับพวกเขาเพราะเห็นแก่ความสะดวกเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไร ” (เจน, 52)
โดยทั่วไปแล้วเนี่ย เราก็มักจะไม่ค่อยอยากทำร้ายความรู้สึกคนอื่นเท่าไหร่ (ถ้าไม่จำเป็น) บางคนก็ชอบทำให้คนอื่นพอใจ โดยการไม่ปฏิเสธอะไรเลย ซึ่งบางทีมันก็ไม่ได้ส่งผลที่ดีกับตัวเค้าเอง
แบบนี้มันโคตรเหนื่อยเลย พวกเขาเลยแนะนำว่า ความเห็นแก่ตัว กับ การเห็นแก่ประโยชน์ของตัวเองเนี่ย มันก็มีเส้นบางๆ กั้นอยู่ บางทีเราก็ต้องรู้ว่า เวลาไหนควรจะเลือกอะไร
ตอนช่วงที่เราอายุ 20 โลกของเราคือการเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ เรายึดติดกับบางคน แม้พวกเขานั้นจะไม่ได้สร้างหรือให้อะไรกับเราเลยแต่เมื่อเราอายุมากขึ้น วัย 30 บอกกับเราว่า ความสัมพันธ์ที่ดีเนี่ยมันหายากนะ ฉะนั้น ถ้าเจอแล้วมันไม่ดี ก็ไม่ต้องไปเสียเวลากับใครสักคนที่ไม่ได้นำพาให้ชีวิตเราดีขึ้น
4. ดีกับคนที่เขาใส่ใจเรา หลังจากที่เลือกคนที่ดีให้อยู่ในชีวิตแล้ว เราก็ควรที่จะรักษาเค้าไว้ให้ดีด้วย คุณลุงเอ็ดวัย 45 บอกว่า ฉันคิดว่าฉันทำบางคนหายไปจากชีวิตนะ แล้วพอเค้าคนนั้นหายไป บางอย่างมันก็หายไปด้วย โชคไม่ค่อยดีที่พอคุณเริ่มแก่ขึ้นเรื่อยๆ คนรอบๆตัวคุณก็จะค่อยๆ หายไป ซึ่งแน่นอนมันจะส่งผลกระทบกับความรู้สึกของคุณ
แอน 41 บอกว่า ใช้เวลาร่วมกับคนที่ใกล้ชิดกับคุณ อย่าลืมว่า เงินอ่ะ คุณสามารถหาใหม่ได้งาน คุณก็ไปหามันใหม่ได้แต่เวลาที่คุณจะได้อยู่กับพวกเขานั้นมันเอากลับมาไม่ได้แล้วนะ
เรื่องที่คุณไม่คาดคิด หรือเรื่องเลวร้าย มันจะเกิดขึ้นกับทุกคนที่คุณรู้จัก กับเพื่อนของคุณ กับคุณเอง ในช่วงอายุ 30-40 ปี มันเป็นช่วงปีที่เรื่องราวเหล่านี้จะเริ่มต้นขึ้น พ่อแม่จะลาจาก เด็กน้อยจะเกิดขึ้น เพื่อนกับผัวก็หย่าร้าง นอกใจกันนู่นนี่ ทุกอย่างเกิดขึ้นเรื่อยๆ การที่เราได้อยู่ในช่วงเวลาที่พวกเขาเหล่านั้นกำลังประสบปัญหาพวกนี้อยู่ นั่งฟังพวกเขาอย่างเข้าใจ ไม่ตัดสินใจ นั่นคือความสัมพันธ์ที่ถ้าไม่เกิดขึ้นกับเราจริงๆ เราก็แทบจะนึกถึงภาพมันไม่ออกเลย
5. คุณทำทุกอย่างไม่ได้หรอก โฟกัสแค่สิ่งที่คุณทำได้ แล้วทำมันให้ดีก็พอ ทุกอย่างในชีวิตคือการแลกเปลี่ยน คุณได้บางอย่าง เพื่อเสียบางอย่างไป คุณไม่มีทางได้มันไปทั้งหมด มันเป็นเรื่องที่คุณต้องยอมรับ อังเดร อายุ 60 ปี ได้บอกเอาไว้
วัย 20 เราทุกคนมีความฝันมากมาย แล้วเราก็คิดว่าเรามีเวลาทั้งโลกเพื่อทำมัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ชีวิตคุณจะดีขึ้น เมื่อคุณโฟกัสเฉพาะสิ่งที่คุณทำมันได้ดี ไม่ใช่ทุกสิ่งที่คุณอยากทำ
บางคนก็บอกว่า เราเริ่มที่จะตัดสินใจว่าเราอยากจะทำอะไร เป็นอะไรก็ช่วง 20 ต้นๆ ซึ่งมันก็มีตัวเลือกมากมายในช่วงเวลานั้น แต่ส่วนใหญ่เราก็มักจะเลือกถูกบ้างผิดบ้าง ซึ่งมันใช้เวลากว่าเราจะเข้าใจว่าเราเก่งอะไร แล้วมีความสุขกับการทำอะไร และมันจะดีกว่า ถ้าพอรู้แล้วว่าดีที่ตรงไหน แล้วโฟกัสมันมากขึ้นไปอีก เพื่อขยายขีดความสามารถของตัวเอง มากกว่าการทำได้หลายๆ อย่าง แต่ทำได้แบบครึ่งๆ กลางๆ
6. ไม่ต้องกลัวความเสี่ยงมากก็ได้ ช่วงอายุนี้มันยังเปลี่ยนแปลงได้อยู่ จริงๆ แล้วช่วงอายุ 30 เนี่ย เราควรจะมีอาชีพที่ปักหลักแน่นอนแล้ว แต่มันก็ไม่ได้สายเกินไปที่จะเปลี่ยน เพราะสิ่งที่น่าเสียใจกว่านั้นก็คือ เราใช้เวลาต่อจากนี้อีก 10 ปี อยู่กับสิ่งที่เราไม่ได้ชอบ จากวันเป็นเดือน เป็นปี ลืมตามาอีกทีก็อายุ 40 แล้วมาพบกับ mid-life crisis เพราะมันคือปัญหาที่เราไม่ได้แก้ไขมันเมื่อ 10 ปีที่แล้ว (Richard, 41)
สิ่งที่ชั้นเสียใจที่สุด คือการไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรทำตั้งแต่ตอนนั้น (Sam, 47) อีกหลายๆ คนบอกว่า อายุ 30 เอง
อย่าเพิ่งเอาคำว่า โตแล้ว ต้องเป็นผู้ใหญ่สิ มาเป็นตัวกั้นตัวเองในการที่จะไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไรที่มันสำคัญกับชีวิต กลัวให้น้อยลงหน่อย เพราะถ้าชั้นย้อนเวลากลับไปได้ ชั้นก็จะบอกกับตัวเองว่า วันนั้นน่าจะตัดสินใจแบบนั้นไปตั้งนานแล้ว (Aida, 49)
7. จงพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง ทรัพย์สินที่คุณมี 2 อย่างในชีวิตที่คุณไม่สามารถเอากลับมาได้เมื่อเสียมันไป
1. ร่างกายของคุณ
2. จิตใจของคุณ
บางคนเลิกเรียนรู้สิ่งต่างๆ เมื่ออายุได้ 20 บางคนพอเข้าอายุ 30 ก็ยุ่งเกินไปที่จะพัฒนาตัวเอง แต่ถ้าคุณคือส่วนน้อยที่พัฒนาตัวเอง และเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ช่วงอายุ 40 จะเป็นช่วงเวลาใหม่ที่คุณจะมีความสุขกับมัน(Stan, 48)
ถ้าตามข้อที่ 6 ที่บอกว่า อายุ 30 แล้วก็ยังเปลี่ยนกันได้ นี่ก็คือข้อที่คุณควรจะเปลี่ยนเสียตั้งแต่ตอนนี้
Warren Buffett เคยบอกไว้ว่า การลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดที่คนหนุ่มสาวสามารถทำได้ คือการเรียนศึกษาเรียนรู้ ด้วยตัวเค้าเอง เพราะเงินมาแล้วก็ไป ความสัมพันธ์ บ้างมาแล้วก็ไป แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา มันจะอยู่กับคุณตลอดไป
สิ่งที่คุณควรตั้งเป้าหมายในชีวิต คือการพยายามที่จะเป็นตัวเองที่ดีขึ้น คู่คิดที่ดีขึ้น เพื่อนที่ดีขึ้น เพื่อนร่วมงานที่ดีขึ้น เป็นในสิ่งที่ดีขึ้นในทุกๆ สถานะที่เราต้องเป็น (Aimilia, 39)
8. หยุดหาใครสักคนหรืออะไรก็ตามที่ดีที่สุด ยินดีกับคนที่อยู่ตรงหน้าที่ทำให้เรารู้สึกดี และเข้าใจเราอย่างแท้จริงเพราะตอนนี้ชั้นรู้สึกเหงา เปล่าเปลี่ยว และรู้สึกได้ว่า มาคิดได้ตอนนี้ก็สายเกินไป
9. รักตัวเอง เคารพตัวเองให้มากๆ ทำอะไรเพื่อตัวเองในทุกๆ วัน ทำอะไรที่แตกต่างไปบ้างสักเดือนละครั้ง ทำอะไรที่ยิ่งใหญ่บ้างปีละครั้งก็ดี
คนส่วนใหญ่ส่งมาบอกว่า ทำดีกับตัวเองบ้าง รักตัวเองให้มากขึ้นหน่อย เพราะถ้าไม่รักตอนนี้ พอผ่านช่วงวัยนี้ไปแล้ว มันจะรักษายากขึ้นนะ ถ้าเจอปัญหาแล้ว ลองถามตัวเองดูว่า อีก 5 ปี 10 ปี เรื่องที่เจอ ที่รู้สึกอยู่ตอนนี้ มันจะสำคัญเมื่อถึงเวลานั้นมั้ย ถ้าไม่ ใช้เวลามันแค่ไม่กี่นาที แล้วก็ปล่อยมันไปเถอะ
คนส่วนใหญ่ส่งมาบอกให้ยอมรับความจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ ซึ่งนำมาถึงคำแนะนำสุดท้ายของ คุณลุงมาตินอายุ 58 ที่บอกว่า
พ่อเคยบอกกับผมว่า เมื่อวันที่อายุ 40 เดินทางมาถึง ผมจะมีความสุขกับมัน เพราะเมื่อวัย 20 นั้น ผมคิดว่าผมรู้ทุกอย่างแล้ว พอเข้าสู่ช่วง 30 ผมจึงเข้าใจว่าที่คิดว่ารู้ ที่คิดว่าเข้าใจ นั้นมันไม่ใช่ และเมื่อวันที่ วัย 40 เดินทางมาถึง ผมก็สามารถยอมรับมันได้ว่าทุกอย่าง มันก็เกิดขึ้นและเป็นไปอย่างที่มันเป็นควรจะเป็น
ตอนนี้ผมอายุ 58 แล้ว แล้วพ่อผมก็พูดถูก
9 บทเรียน จากการแนะนำของคน 600 คน ว่าด้วยสิ่งที่เขาอยากกลับไปบอกตัวเองในวัยสามสิบ
ขอขอบคุณ : LIFE LESSONS TO EXCEL IN YOUR 30S : Mark Manson, บันทึกนึกขึ้นได้