ลองคิดตามดูว่าจริงไหม ชอบบทความนี่จัง เราพุทธแท้ เข้าใจได้ดีเลยค่ะ

0

ลองคิดตามดูว่าจริงไหม ชอบบทความนี่จัง เราพุทธแท้ เข้าใจได้ดีเลยค่ะ

เรียกได้ว่าสภาพของวัดในทุกวันนี้ เต็มไปด้วยอภิมหาของรูปปั้น รูปเคารพ ข้ามนิกายข้ามศาสนาข้ามตำนานกันไปเต็มไปหมด และก็เป็นไปด้วยในเรื่องของการโฆษณาสรรพคุณอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์กันมากมาย

นี่คือสิ่งที่ถูกสะท้อนออกมา เหมือนเป็นปรากฏการณ์ให้ทุกคนต้องกราบไหว้บูชา เป็นปรากฏการณ์ที่ถูกการตลาดครอบงำ และยึดครองจิตวิญญาณไปได้หมด

จนสุดท้ายก็สามารถชี้นำในเรื่องของความเชื่อ ให้คนได้งมงายอย่างไร้เหตุผล ทั้งในเรื่องของการปกครอง การดำรงชีวิต การบริโภค และเข้ามาถึงเรื่องของศาสนาในที่สุด ประเทศใดก็ตามที่ผู้คนไม่มีความแข็งแกร่งในเรื่องของความคิด สุดท้ายก็ตกเป็นทาสของเหยื่อการตลาด

ก็คงจะประสบปัญหาเช่นนี้ เหมือนๆกันทุกประเทศ ไม่ว่าจะเจริญทางวัตถุเพียงใด ระดับการศึกษาที่สูง แบบกลวงๆ  ไร้มาตรฐาน อย่างที่เราเห็นกัน  ก็เลย ไม่ได้เป็นตัวชี้วัด

การเป็นคนมี สติ มีปัญญา มีความคิด อย่างแท้จริง ได้เลย สำหรับคนที่ เป็นผู้ที่เข้าใจ แก่นของพุทธศาสนา และเคารพเฉพาะ คำสอนของพระพุทธเจ้า อย่างแท้จริง ก็อาจแทบจะเลิกเข้าวัด ที่กลายพันธุ์ จนเละเทะแบบนี้ ไปเลย

เพราะไม่ยินดี จะเห็นความไร้ปัญญา ไร้แก่นสาร ของวัดนั้นๆ เพราะแค่ ใครก็ตาม ได้มีการนำหลักศาสนามาใช้ในชีวิตประจำวันได้ อย่างเรียบง่าย บนทางสายกลาง และเป็นธรรมชาติ

” เขาก็จะได้มีชีวิตที่เป็นสุข สงบ ได้ด้วยตนเอง ดีอยู่แล้ว “

เมื่อประสบปัญหา ก็แค่รวบรวมสติ แล้วค่อยๆพิจารณา แก้ปัญหานั้นๆ ไปเป็นขั้นเป็นตอน ก็ประสบความสำเร็จด้วยตนเอง ได้เสมอ

ขณะที่คนงมงาย ไร้ปัญญา ก็จะเอาแต่ มุ่งระดม ถมทำบุญตระเวณกราบไหว้พระ ไหว้รูปปั้นเทพ สัตว์ในตำนาน สารพัด

เก้าวัด ร้อยวัด ตระเวณแก้กรรม แก้ชง แก้ไปเรื่อย ทั่วสารทิศ

” แก้มันทุกอย่าง ยกเว้น แก้ไขตนเอง พิจารณาตนเอง “

ซึ่ง ก็กลายเป็นว่า หมกมุ่นอยู่กับกิจกรรม ที่ไม่ใช่การทำบุญจริง แต่ เป็นแค่ การบ้าบุญ ติดบุญ หลงบุญ จนอาจก่อปัญหาด้านอื่น ตามมาแล้วก็เลย ต้องยิ่งตระเวณถมทำบุญ หวังแก้ปัญหาแบบนี้ ที่จะเกิดขึ้นใหม่

ได้แต่ วนๆเวียนๆ อยู่กับความงมงายไปอีกเรื่อยๆ ไม่รู้จบเมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่มีสติ มีปัญญา มีความเข้าใจมีการปฎิบัติตนบนทางสายกลาง พอดีพองาม ตามหลักศาสนาก็เลยกลายเป็นชนกลุ่มน้อย

ที่การดำเนินชีวิตเรียบง่าย ไม่ลุ่มหลงของเขา กลายเป็นดูเหมือนว่าแตกต่างจากผู้คนทั่วไปที่ยังหลงอยู่ท่ามกลางความเชื่อ และความงมงาย ที่เค้าทำกันโดยที่ จะพูดอะไรมาก ก็ไม่ได้ เพราะ อาจจะไปกระทบกระเทือนจิตใจ คนหลงบุญ บ้าบุญและ กระทบความเชื่อส่วนตัว

ที่มักตามมาด้วยคำว่า ที่ทำอยู่ (อย่างไร้สตินั้น) ก็ไม่เห็นจะเดือดร้อนใครๆก็เลย ทำได้แค่ ส่งเสียงเตือน กระตุ้นความคิดเป็นบางครั้ง ได้เท่านั้น

หมายเหตุ : ภาพประกอบ เป็นเพียงตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจตามบทความ

มิได้มีเจตนา ตำหนิติเตียน เป็นการเฉพาะเจาะจง ใดๆทั้งสิ้น

ขอถวายบทความนี้ เป็นพุทธบูชา พระศาสดา ผู้มอบปัญญาอันประเสริฐ

ขอขอบคุณ : ไพโรจน์ จีรบุณย์

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here