แม่ครับ ผมอุ้มแม่ได้มั้ย “พล.ต.ต.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” น้ำตาไหลอยากให้ทุกคนได้อ่าน

0

แม่ครับ ผมอุ้มแม่ได้มั้ย “พล.ต.ต.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” น้ำตาไหลอยากให้ทุกคนได้อ่าน

ในช่วงของวันที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมา สมาชิกเฟสบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า Torsak Sukvimol ผู้บังคับบัญชาการตํารวจมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ได้แชร์เรื่องราวสุดซึ้ง ทำให้หลายคนน้ำตาไหลกันเป็นทางทาง

อยากให้อ่านครับ เพื่อนส่งมาให้

“แม่ครับ…ผมอุ้มแม่ได้มั้ย“

เมื่อแม่ผมป่วยถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล จากที่หมอได้บอกมา อาการของแม่ผมนั้นป่วยหนักมาก และแม่ในตอนนี้ก็ดูซูบผอมไปมาก เหมือนกับว่าเป็นต้นไม้ในหน้าแล้ง ผอมแห้ง ซูบเซียว บริเวณผมของแม่นั้นเต็มไปด้วยสีขาว เป็นผมหงอกเต็มไปหมด แม่นอนอยู่บนเตียงเล็กๆที่มีผ้าสีขาวของโรงพยาบาลห่อหุ้มอยู่ แม้ว่าผมจะนั่งอยู่ในที่ตรงนั้น

แต่ก็ยังคงห่วงงานที่บริษัท

ผมรับโทรศัพท์ครั้งแล้วครั้งเล่า

“หากลูกงานยุ่งก็กลับไปเถอะ ที่นี่มีพยาบาลดูแล” แม่พูดขึ้นมา

“ไม่มีอะไรครับแม่ ผมไม่ยุ่ง” ผมบอกออกไป ทั้งๆที่ใจอยากจะกลับไปเคลียร์งาน แต่สายตาของแม่ปิดผมไม่ได้หรอก แม่อยากให้ผมอยู่ด้วย

ผมเป็นลูกคนเดียวของบ้าน พ่อจากไปแล้ว แม่ไม่ได้แต่งงานใหม่ เลี้ยงผมจนโตไม่ใช่เรื่องง่าย ตอนนี้แม่ต้องการผม ผมจะทิ้งแม่ไปได้อย่างไร แม้การอยู่ที่โรงพยาบาลในหนึ่งวันจะต้องสูญเสียรายได้ไปหลายแสนก็ตาม แม่ต้องตรวจเช็คอาการหลายอย่าง และผมต้องอุ้มแม่นั่งรถเข็นเพื่อไปตรวจเช็คที่ห้องปฏิบัติการ เพราะแม่ผอมแห้งจนเดินเองไม่ได้

ครั้งแรกที่ผมได้อุ้มแม่ ตอนที่ก้มตัวลงไปอุ้มนั้น ผมแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ ผมเคยอุ้มลูก อุ้มภรรยา แต่ผมไม่เคยอุ้มแม่เลยสักครั้ง ไม่เคยคาดคิดว่าแม่จะตัวเบาอย่างนี้ น้ำหนักไม่ถึง40โล แม่ผอมจนเห็นกระดูก ดูแม่จะค่อยข้างวิตก

“อุ้มแม่ไหวไหม?”

แม่ถามขึ้นมา ดูเหมือนแม่จะไม่อยากให้ผมอุ้ม เพราะระหว่างแม่ลูก ผมไม่เคยอุ้มแม่เลย แต่คนไข้อื่นๆและญาติที่มาเยี่ยมรอบๆต่างก็พูดสรรเสริญว่า“คุณโชคดีจังเลย มีลูกกตัญญู ให้ลูกอุ้มเถอะ รู้สึกยังไงบ้าง?”

ดูเหมือนแม่น้ำตาคลอ ผมก็รู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างมาอุดอยู่ในอก จึงรีบอุ้มแม่ไปที่ห้องปฏิบัติการ มือของแม่จับผมไว้แน่น แม่คงรู้สึกกลัว ผมรู้ แม่คงไม่อยากให้ผมลำบาก แต่ต่อให้อย่างไรก็ตาม แค่นี้มันยังน้อยไปเสียด้วยซ้ำกับสิ่งที่แม่เลี้ยงดูผมมา

ผมคิดเสมอมาว่าแม่แก่แล้ว หาสิ่งอำนวยความสะดวกให้แม่ก็พอแล้ว ส่วนความรักความเอาใจใส่นั้น ยกให้ลูกและภรรยา ภรรยามักจะอ้อนให้ผมอุ้มอยู่บ่อยๆ ภรรยาของผมสมบูรณ์และหนักกว่าแม่มาก แต่เมื่อวันนี้ผมได้อุ้มแม่ ถึงรู้ว่า แม่ก็ต้องการอ้อมกอดของผมเช่นกัน

ในเดือนนั้น ผมอุ้มแม่ไปๆมาๆ จนสุดท้ายแม่ก็เดินได้เอง ตั้งแต่วันที่ผมได้อุ้มแม่ จากนั้นเป็นต้นมา ระหว่างผมกับแม่ก็มีการสื่อสารกันมากขึ้น แม่เล่าเรื่องตอนที่ผมเป็นเด็กให้ฟัง ผมปิดมือถือเมื่อมาอยู่กับแม่ ฟังแม่เล่าเรื่องความซนของผมเมื่อสมัยยังเป็นเด็ก อาการป่วยของแม่ดีวันดีคืน

คุณหมอบอกว่า คนไข้ประเภทนี้สามารถฟื้นตัวได้ขนาดนี้เรียกได้ว่าปาฏิหาริย์

ไม่นานเท่าไหร่ แม่ก็ออกจากโรงพยาบาล ผมเริ่มกลับไปยุ่งกับงานเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คือ ทุกวันอาทิตย์ ผมจะต้องกลับบ้านไปหาแม่ และสิ่งที่ผมทำเป็นสิ่งแรกเมื่อถึงบ้าน ก็คือกอดแม่และอุ้มแม่ เพราะผมรู้ว่าแม่ไม่ได้ต้องการเงินทอง แต่แม่ต้องการความรักความเอาใจใส่จากลูก การกอดและการอุ้มแม่เป็นเรื่องที่ง่ายมากสำหรับผม

“อ้อมกอดของลูก คือของขวัญสุดวิเศษที่แม่ได้รับในวัยชรา ที่เงินทองก็หาซื้อมาไม่ได้” แม่บอกกับผมในคืนส่งท้ายปีเก่า พูดเสร็จแม่ก็ร้องไห้ออกมา

ลูกชายของผมเข้าไปกอดย่าและบอกว่า “ย่าครับ หนูก็อยากกอดย่าเหมือนกัน” ภรรยาของผมก็เข้ามากอดแม่และพูดว่า “แม่คะ หนูก็อยากกอดแม่เหมือนกันค่ะ”

นั่นเป็นอาหารคืนส่งท้ายปีที่อิ่มใจเป็นที่สุดสำหรับผม จากนั้นเป็นต้นมา ผมก็รู้ว่า ความรักนั้นไม่ต้องพรรณนาให้มากมาย แค่เพียงกอดแม่ก็เพียงพอแล้วหากแม่ของคุณยังมีชีวิตอยู่ คุณลองกอดหรืออุ้มแม่ดูนะครับ แม่ครับ ผมขออุ้มแม่นะครับ!

นุสนธิ์บุคส์

แชร์ไปได้บุญ..

ขอขอบคุณ : นุสนธิ์บุคส์

ภาพประกอบจาก : Torsak Sukvimol

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here