ฉันเคยช่วยคนหนึ่งไว้ พอ 20 ปีผ่านไปเขากลับมา ‘รื้อถอน’ บ้านฉัน

0

ฉันเคยช่วยคนหนึ่งไว้ พอ 20 ปีผ่านไปเขากลับมา ‘รื้อถอน’ บ้านฉัน

ทางด้านสื่อต่างประเทศได้นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลคนหนึ่ง โดยเรื่องราวนั้นมีอยู่ว่า หลังจากที่ได้แต่งงานอยู่กินกับสามีตอนอายุ 22 ปี ฉันก็ได้มีลูกสาว 3 คน แต่สามีนั้นอยากมีลูกชายมาก ความสัมพันธ์ของฉันกับแม่สามีก็ไม่ได้ดีมากเท่าไหร่

โดยปกติแล้วพวกเขาจะไม่ให้ฉันกินข้าวร่วมโต๊ะด้วยเลย ในขณะที่ฉันกำลังทำกับข้าวอยู่นั้น พวกเขาก็เริ่มกินข้าวกันแล้ว ฉันได้แต่รอพวกเขากินเสร็จ ฉันถึงจะกินได้แต่ก็ไม่ค่อยเหลืออะไรให้กิน

เมื่อประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา มีผู้ชายคนหนึ่งเป็นขอทานที่หน้าบ้าน ในวันนั้นเป็นวันที่อากาศหนาวมาก เด็กผู้ชายคนนั้นสวมรองเท้าขนาดเสื้อผ้าบางๆ มือเท้าเย็นไปหมด ตอนนั้นฉันกำลังเก็บชาและเก็บตะเกียบอยู่ ชายคนนั้นจึงมาขอร้องขอความช่วยเหลือที่หน้าบ้านของฉัน

ฉันมองเห็นว่าเขานั้นเป็นขอทานก็เลยเปิดประตู เขาได้พูดว่า ได้โปรดขอข้าวให้ผมได้กินหน่อย ถ้าในวันนี้ผมไม่ได้กินผมจะต้องหิวแบบทนไม่ไหวแน่ๆ

ฉันเห็นเขาเป็นคนที่น่าสงสาร ก็ปฏิเสธไม่ลง ซึ่งในวันนั้นเองบังเอิญพ่อแม่สามีไม่อยู่ที่บ้าน ลูก 3 คนก็ไปโรงเรียนกันหมดแล้ว สามีก็ไม่อยู่ ฉันเลยให้เขาเข้ามาในบ้านเพราะข้างนอกนั้นหิมะตกหนัก ฉันได้ตักข้าวเปล่าให้เขา 1 ชาม ในบ้านเหลือแต่อาหารกระป๋อง ฉันเลยเทให้เขากิน

หลังจากกินข้าวเสร็จ อยู่ๆ เขาก็คุกเข่าลงต่อหน้าฉันและเรียกฉันว่าแม่ เขาบอกว่าอยากจะให้ฉันรับเลี้ยงเขาไว้ แต่ในเวลานั้นฉันทำอะไรไม่ได้จริงๆ กลัวจะโดนพ่อแม่สามีด่า อีกอย่างที่บ้านก็มีลูกๆ 3 คนอยู่แล้ว ถ้ารับมาเลี้ยงอีกคนก็คงไม่ไหว

ฉันจึงปฏิเสธเขาไป แต่ตอนนั้นใกล้จะถึงตรุษจีนแล้ว เขาไม่มีที่ไป ฉันก็เลยให้เขานอนอยู่ในห้องเก็บของ และได้แอบเอาข้าวไปให้เขาทุกวัน และยังหาเสื้อผ้าเก่าๆหนาๆไปให้เขาใส่ แต่แล้วสามีก็มาเจอเขาเข้า และตีเขาไปหลายที แถมยังด่าเขาว่าเป็นขโมยอีก

พ่อแม่สามีก็ขับไล่เขา เมื่อฉันเข้าไปห้ามฉันก็โดนสามีทำร้ายร่างกายอีก เขาสงสัยว่าชายคนนั้นเป็นลูกของฉันกับชายอื่น ฉันรู้สึกเกลียดที่ตอนนั้นต้องถูกพ่อแม่บังคับแต่งงานกับผู้ชายแบบนี้ นับตั้งแต่นั้นฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ชายคนนั้นอายุเพียง 6 ขวบ ข้างนอกหิมะตกหนักมาก เขาจะหนาวต-ายมั้ย ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองทำผิด เกลียดตัวเองที่ปกป้องเขาไม่ได้

หลังจากนั้น 20 ปี ลูกสาวทั้งสามคนก็แต่งงานไปหมดแล้ว ลูกคนโตแต่งงานกับชายหนุ่มที่มาจากชนบท แต่ครอบครัวก็จัดว่าฐานะดี คนรองแต่งงานกับลูกชายของคนรวย ชีวิตสบายมาก ส่วนคนเล็กแต่งไปไกลหน่อย สามีเธอเป็นหนุ่มฮ่องกง หลังจาก 20 ปีมานี้พ่อสามีก็เสียไปแล้ว ตัวสามีเองก็เสียไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว

เมื่อปีที่แล้วแม่สามีก็ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ส่วนฉันเองก็เป็นความดันสูง ไขมันสูงและน้ำตาลสูง แถมยังเป็นโรคหัวใจอีกด้วย มักจะมีอาการเหงื่อออกและหายใจลำบาก แต่ถึงจะเป็นอย่างนี้ฉันก็ยังต้องดูแลแม่สามี บางทีฉันก็รู้สึกว่าไม่ยุติธรรม เธอไม่เคยทำดีกับฉันมาก่อนเลย แต่ตอนนี้ฉันกลับต้องมาดูแลเธอ แต่อย่างไรก็ตามเองก็เป็นแม่สามีฉัน ถ้าฉันไม่ดูแลแล้วใครจะมาดูแลล่ะ

ฉันให้พวกลูกสาวกลับมาเยี่ยมย่าของพวกเธอบ้าง แต่จนถึงเวลาที่แม่สามีเสียไปแล้ว นอกจากลูกสาวคนโตที่กลับมาเยี่ยมแล้ว คนรองและคนเล็กไม่เคยกลับมาเลย พวกเธอบอกว่างานยุ่งไม่มีเวลา แต่นั้นก็ย่าแท้ๆของพวกเธอนะ ทำไมใจดำกันขนาดนี้

หลังจากแม่สามีเสียไป ฉันก็ตัวคนเดียวจึงอยากจะไปอาศัยอยู่กับลูกสาว ฉันไปพักบ้านลูกสาวคนโตได้ 1 เดือน พ่อแม่สามีเธอไม่ค่อยพอใจกับฉันเท่าไหร่ เลยต้องไปพักที่บ้านลูกสาวคนรองต่อ ยังพักไม่ถึงเดือน ก็รู้สึกตัวเองเหมือนเป็นคนรับใช้ของบ้านลูกสาวคนรอง ฉันต้องคอยทำทุกอย่างให้พวกเขา วันที่จะเดินทางไปบ้านลูกสาวคนเล็ก หลังจากที่พยายามทำวีซ่าไปฮ่องกงจนเสร็จ แต่เธอกลับบอกว่าเธอไปเที่ยวเวียดนามอยู่ กลับมาไม่ได้…

ฉันเศร้าใจและผิดหวังมาก เลยต้องกลับมาบ้านเก่า อาศัยปลูกผักขายหาเงินเลี้ยงปากท้องตัวเอง ลูกสาวสามคนไม่มีใครให้เงินฉันสักบาท และก็ไม่กลับมาเยี่ยมฉันเลย จนฉันต้องคิดบ่อยๆว่าอย่างนี้ต-ายไปไม่ดีกว่าหรือ ทำไมต้องมีชีวิตแบบนี้ไปวันๆ

ชีวิตนี้ฉันพยายามมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับสามีและลูกๆแต่สุดท้ายแล้วฉันได้อะไรตอบแทน เมื่อเดือนมิถุนายนฉันเป็นไข้หวัดอาการหนักต้องนอนบนเตียง อยู่ๆก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาในบ้าน ฉันถามเขาว่ามาหาใคร เขาบอกว่าเขาชื้อโกวโกว (นั่นเป็นชื่อที่ฉันใช้เรียกชายคนนั้น) เขาคือเด็กชายที่ฉันเคยให้ข้าวกินในปีนั้น ฉันรู้สึกตื่นเต้นมาก ดีใจที่เขายังมีชีวิตอยู่

วันนั้นเขาพาฉันไปหาหมอที่โรงพยาบาล พอหายดีฉันก็อยากจะกลับบ้าน แต่เขาบอกว่าเขาให้คนรื้อบ้านฉันแล้ว เขาจับมือของฉันและคุกเข่าต่อหน้าฉันพร้อมพูดว่า “แม่ครับ กลับบ้านกับผมนะ ไปเป็นแม่ผม ให้ผมดูแลแม่ต่อ ผมจะไม่ให้แม่อยู่คนเดียวอีกแล้ว…”

ฉันจึงกลับไปกับเขา และเมื่อ 20 ปีก่อนหลังจากที่เขาถูกขับไล่ออกจากบ้านฉันไป เขาก็ได้รับความช่วยเหลือจากนักข่าวคนหนึ่ง และได้เจอพ่อแม่แท้ๆของตัวเอง

ตอนนี้เขาช่วยพ่อของเขาบริหารธุรกิจด้วย ฐานะทางบ้านค่อนข้างดี ฉันรู้สึกขอบคุณเขาจนน้ำตาไหลพราก ฉันเพียงแค่เลี้ยงข้าวเขาไม่กี่มื้อ แต่เขากลับมารับฉันกลับบ้าน ที่แท้บนโลกใบนี้ ยังมีคนดีๆอยู่ และทำให้โลกใบนี้อบอุ่นน่าอยู่อีกมาก

ขอขอบคุณ : liekr

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here