เขาเก็บกำไลทองได้ ยืนรอเจ้าของ 2 วัน พอได้เจอเจ้าของ
ในช่วงบ่ายวันหนึ่งเป็นฤดูร้อน มีผู้คนเดินไปเดินมามากมายอยู่ที่ริมถนน เวลาแบบนี้คนส่วนใหญ่มักจะไปอยู่ในอาคารเพื่อตากแอร์ กินไอครีมของแพงๆ แต่ที่ข้างถังขยะใบหนึ่งตรงมุมถนนข้างหน้า มีหญิงวัยประมาณ 70 ปีคนหนึ่งกำลังใช้มือควานหาขวดพลาสติก
หญิงคนนี้มีชื่อว่ายายช่าย ปีนี้อายุ 68 ปี เมื่อก่อนแกเลยใช้ชีวิตเป็นเกษตรกรมาโดยตลอด ต่อมาลูกชายซื้อบ้านสร้างครอบครัวในเมือง ก็เลยรับแกมาอยู่ด้วย ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่แกต้องเริ่มปรากฏตัวอยู่ข้างถังขยะนี้ แกไม่เคยได้เล่าให้ใครฟังว่าทำไมต้องมาทำแบบนี้
ทุกวันแกจะแบกถุงใบใหญ่เดินไปตามถังขยะตามจุดต่างๆริมถนน มองหาขวดพลาสติก พอตกค่ำ ก็เอาของที่เก็บได้ไปขายที่ร้านขายของรีไซเคิล ทุกวันจะได้เงินประมาณ 50 – 100 บาท สำหรับหญิงชราแล้วเงินจำนวนนี้เพียงพอแล้ว วันนึงใช้ไม่หมด ยังพอมีเหลือเก็บด้วย เงินที่เหลือใช้ทุกวัน แกจะเอาใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อช่องใส่เงินด้านในสุดที่แกเย็บเพิ่มขึ้นมาเอง ตกกลางคืนก็นอนบนม้านั่งยาวใต้สะพาน มีฟ้าเป็นมุ้ง มีชีวิตสบายๆในแบบของแกเอง
ชายของยายช่ายก็ทำงานอยู่ในเมืองนี้เช่นกัน ทุกวันตอนค่ำๆแกจะแอบมายืนอยู่แถวหน้าบ้านลูกชายเงียบๆประมาณชั่วโมงนึง ที่ทำให้แกปวดใจก็คือ บ้านของลูกชายแก อยู่ข้างหน้าแก แต่แกไม่กล้าเข้าไป เวลาผ่านไป ผู้คนที่ทำงานประเภทเดียวกันก็ถามแกว่า : “ทำไมไม่กลับไปบ้าน” ทุกครั้งยายช่ายก็จะตอบว่า : “ฉันทำผิดต่อพวกเขา ไม่มีหน้าจะไปพบพวกเขา ที่นั่นไม่ใช่บ้านฉัน”
ค่ำวันนั้น ยายช่ายนอนหลับอยู่บนม้านั่งยาวใต้สะพาน พอแกพลิกตัวก็กลิ้งตกลงมา แกรู้สึกว่าบนพื้นมีอะไรบางอย่างอยู่ใต้หลังแก ก็เลยควานไปหยิบขึ้นมา ปรากฏว่าเป็นกำไลข้อมือทำจากทอง แกเดินไปส่องตรงเสาไฟ บนกำไลยังมีหินมีค่าฝังอยู่ด้วย นี่ต้องราคาไม่น้อยๆแน่ๆ หญิงชราตกใจ มองไปรอบๆ แล้วรีบเอากำไลข้อมือยัดลงไปในช่องใส่เงินตัวเอง
ฟ้าสาง หญิงชราก็ยังไม่ไปไหน แกเดินไปรอบๆพลางคิด : “ทำของแพงขนาดนี้หาย เจ้าของต้องกำลังร้อนใจอยู่แน่ๆ” วันนั้นแกเลยไม่ได้ไปเก็บขวด แต่รอเจ้าของสร้อยอยู่ตรงนั้น วันต่อมา หญิงชราก็ยังคงเดินวนเวียนอยู่แถวใต้สะพาน แกเห็นหญิงวัยกลางคนๆหนึ่งกำลังทำท่าเหมือนมองหาอะไรบางอย่างอยู่อีกด้านของสะพาน ในใจแกก็เลยคิดว่าเธออาจจะเป็นเจ้าของกำไลที่หาย
แกกลับไปนั่งที่ม้านั่ง ดูว่าผู้หญิงคนนั้นจะเดินหามาถึงตรงนี้มั้ย ถ้าเธอเดินมาหาก็คงเป็นเจ้าของจริงๆ พอเห็นเจ้าของกำไลเดินมา สองคนเห็นหน้ากันก็ต้องตะลึง ที่แท้คนที่ทำกำไลหายก็คือลูกสะใภ้ของแกเอง สองคนยืนนิ่งไม่มีใครพูดอะไร
แล้วลูกสะใภ้ก็เริ่มต้นว่า : “แม่คะ ใช่แม่ใช่มั้ย? แม่ไม่ได้กลับไปบ้านนอกหรอ ทำไมมาอยู่ที่นี่” ยายช่ายพูดอย่างอึกๆอักๆ : “แม่ เอ่อ แม่ เอ่อ แม่ยังมีบางอย่างที่ยังทำไม่เสร็จ ก็เลยยังไม่ได้กลับไป อีกไม่กี่วันก็จะกลับไปแล้ว” ลูกสะใภ้เลยพูดต่อ : “หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี่แม่มาเก็บขยะขายหรอคะ ถ้าลูกชายแม่รู้เข้า จะคิดยังไง แม่เคยคิดมั้ย?”
ก่อนหน้านี้ยายช่ายอยู่บ้านลูกชายก็มีความสุขดี ความสัมพันธ์กับลูกสะใภ้ก็ถือว่าใช้ได้ ลูกสะใภ้ชอบเลี้ยงสัตว์ ก็เลยซื้อหมามาเลี้ยงตัวนึง แต่ตอนเล็กๆยายช่ายเคยโดนหมากัด ก็เลยค่อนข้างกลัว พอเห็นลูกสะใภ้จูงสุนัขตัวนึงกลับบ้านมา ก็พยายามจะระงับความกลัว เพราะลูกสะใภ้ชอบ แล้วก็พยายามจะช่วยลูกสะใภ้เลี้ยงสุนัข
วันหนึ่ง ลูกสะใภ้รีบไปทำงาน ไม่ได้ปิดประตูให้ดี เจ้าตูบก็เลยแอบออกไปข้างนอก พอลูกสะใภ้กลับมาไม่เห็นสุนัข ก็เข้าใจผิดคิดว่ายายช่ายปล่อยไป สองคนก็เลยทะเลาะกัน สุดท้ายยายช่ายก็เลยบอกว่าแกไม่คุ้นเคยกับชีวิตในเมือง จะกลับบ้านนอก ใครจะไปรู้ว่าหลังจากยายช่ายออกจากบ้านลูกชายมา จะไม่ได้กลับบ้านนอก แต่เพื่อไม่ให้ลูกสะใภ้เข้าใจผิด แกก็เลยตัดสินใจอยู่ในเมืองต่อเพื่อหาสุนัขให้เจอ ถ้าหาไม่เจอก็กะว่าจะเอาเงินที่เก็บได้ไปซื้ออีกตัวที่เหมือนกันมาให้ลูกสะใภ้ แล้วก็หามาอย่างนี้เป็นเวลาเดือนนึง แต่ก็ยังหาไม่เจอ
ยายช่ายพูดจบก็ล้วงเอากำไลข้อมือออกมาให้ลูกสะใภ้พลางว่า : “อันนี้ของหนูรึเปล่า เก็บดีๆ อย่าทำหายอีกนะ” พอลูกสะใภ้รู้เหตุผลที่แม่สามีต้องมาเก็บขยะขาย ก็น้ำตาไหลพราก แล้วว่า : “ขอโทษค่ะแม่ ที่เจ้าตูบหายเป็นความผิดของหนูเอง ตอนนั้นหนูเอาแต่อารมณ์ก็เลยเข้าใจผิดแม่ไป ภาพในกล้องวงจรปิดก็บอกว่ามันแอบวิ่งออกมาเอง ถ้าแม่ไม่ชอบหมา หนูไม่เลี้ยงอีกแล้ว”
ยายช่ายได้ยินลูกสะใภ้พูดแบบนี้ก็ซึ้งจนน้ำตาร่วง : “ไม่เป็นไร แม่เองก็ผิด ไม่ได้ดูแลบ้านดีๆ อะไรที่หนูชอบ อีกหน่อยแม่ก็จะชอบด้วย” พูดจบสองคนก็ยิ้มให้กัน สุดท้ายลูกสะใภ้ก็ช่วยเก็บของ แล้วก็พากันกลับบ้านลูกชาย
ขอขอบคุณ : liekr