ยศใหญ่แค่ไหน แต่หัวใจติดดิน เป็นถึงผกก.มาเป็นวินจยย. ก็แค่”หัวโขน”อย่ายึดติด

0

ยศใหญ่แค่ไหน แต่หัวใจติดดิน เป็นถึงผกก.มาเป็นวินจยย. ก็แค่”หัวโขน”อย่ายึดติด

ตำรวจ นับว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติ มีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับประชาชนเป็นอย่างมาก เนื่องจากคำว่า ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์นั้น เป็นหน้าที่หลักที่จะต้องบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้แก่ประชาชน และคอยดูแลภายใต้บังคับบัญชาการ และกฎหมาย เพื่อให้เกิดความสงบสุขต่อสังคมและชาติบ้านเมือง

แต่บางครั้งเรามักจะเกิดเหตุการกระทบกระทั่งเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่และประชาชนอยู่เสมอ

ทางวงการตำรวจก็ไม่ได้แตกต่างไปจากอาชีพอื่นมากนัก ตำรวจทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องการความเจริญในเรื่องของอาชีพการงานกันทั้งนั้น จากชั้นประทวนอยากจะขึ้นสัญญาบัตร จากพลตำรวจโทอยากจะขึ้นพลตำรวจเอก ยุคนี้หากใครมีวาสนาดี มีผู้ใหญ่คอยอุ้มชู ก็ได้เป็นนายทุนโดยไม่ยาก แต่ขอบอกเลยว่า มันก็แค่หัวโขนเท่านั้น

สิ่งที่ควรทำในเรื่องของหัวโขน ของสัปดาห์นี้อยากจะนำเสนอเรื่องราวที่หลายคนต้องชื่นชม เป็นแนวคิดการใช้ชีวิตของตำรวจน้ำดีท่านหนึ่ง เรียกได้ว่า ถอดหัวโขนจากผู้กำกับยศ พ.ต.อ. กลายมาเป็นคนขับวินมอไซค์รับจ้าง ท่านคือ พ.ต.อ.ธีระศักดิ์ พบศิลา หรือ ลุงอู๊ด อายุ 62 ปี เป็นอดีตตำรวจจังหวัดชลบุรี

ยึดอาชีพเสริมหลังจากเกษียณเป็นวินมอไซค์รับจ้าง หมายเลข 16 ประจำทางเข้าปากซอยของศูนย์อบรมตำรวจภูธรภาค 2 ของจังหวัดชลบุรี เราไปฟังเรื่องราวที่น่าสนใจกันเลยดีกว่า

พ.ต.อ.ธีระศักดิ์ เล่าย้อนประวัติส่วนตัวให้ฟังว่า จบการศึกษาจากโรงเรียนตำรวจภูธร 2 ชลบุรี ปี 2519 รับราชการตำรวจมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งจบการศึกษาระดับปริญญาตรีก็สอบเลื่อนชั้นขึ้นเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร สมรสกับนางลำไพ พบศิลา หรือเจ๊กุ้ง อายุ 57 ปี มีบุตร 3 คน เป็นชาย 1 หญิง 2 ปี 58 เลือกเกษียณอายุราชการก่อนเวลาในตำแหน่งสารวัตรอำนวยการ สถานีตำรวจภูธรดอนหัวฬ่อ จ.ชลบุรี ยศ พ.ต.ท. และได้รับบำเหน็จโดยการเชิดชูเกียรติจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพิ่มยศให้อีก 1 ชั้น เป็น พ.ต.อ.

จุดเริ่มต้นการมาขี่วินรถจักรยานยนต์รับจ้างเกิดจากครอบครัวประสบปัญหาด้านการเงิน อดีตลุงเป็นเพียงตำรวจชั้นผู้น้อย ขณะนั้นติดยศสิบตำรวจโทได้เงินเดือนน้อยไม่เพียงพอต่อรายจ่าย จึงปรึกษากับภรรยาว่าต้องหารายได้เสริมเพื่อเพิ่มความมั่นคงทางการเงินให้กับครอบครัว จึงตัดสินใจกับภรรยาว่าเราทั้งคู่จะขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างเป็นอาชีพเสริม เนื่องจากอาชีพนี้มีเวลาดูแลลูก ๆ ได้อย่างเต็มที่ และเป็นการหารายได้เสริมที่ไม่ต้องไปเบียดเบียนใคร และไม่ต้องกระทำในสิ่งที่ตำรวจไทยไม่ควรกระทำ ขี่มาเรื่อยกว่า 20 ปี ตอนนี้ออกจากตำรวจแล้วก็ยังมาขี่วินฯแบบเต็มเวลา

ลุงอู๊ด บอกต่อว่า ตลอดเวลา 20 ปีที่ขี่จักรยานยนต์รับจ้าง ไม่เคยแสดงตัวหรือบอกใครเลยว่าเป็นตำรวจ นอกจากมีเหตุจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น เช่น ระหว่างขับขี่ไปเจอเหตุทะเลาะวิวาทจึงจะแสดงตัวเข้าห้ามปรามช่วยระงับเหตุ หรือบ่อยครั้งที่มีประชาชนเดินทางมาจากต่างจังหวัดแล้วไม่มีที่พักนั่งริมทางเพื่อเดินทางต่อรอรถหรือรอญาติมารับในยามค่ำคืนก็จะให้ความช่วยเหลือชวนไปนอนพักที่บ้าน หากประชาชนไม่ไว้ใจจึงจะแสดงตัวว่าเป็นตำรวจ ไม่ต้องกลัวไปนอนหลบฝนหลบยุงที่บ้านได้ ทำมาตลอดจนสร้างความประทับใจ และได้มิตรภาพดี ๆ กลับมามากมาย หลายคนนับถือรักเคารพเหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง

นอกจากนี้ยังหารายได้ด้วยการรับจ้างเป็นยามเฝ้าโรงน้ำแข็งในเวลากลางคืน และรับจ้างเฝ้าร้านทอง ก่อนหน้านี้เจ้าของกิจการหลายแห่งปฏิเสธไม่อยากให้ทำงานด้วย เพราะเห็นว่ามียศตำแหน่งสูงก็ต้องอธิบายให้เขาเข้าใจว่า ผมไม่ได้กระทำสิ่งผิดกฎหมาย หรือผิดทำนองคลองธรรมใด ๆ การมาหารายได้เสริมก็ไม่ได้เบียดบังเวลาการทำงานราชการ ซึ่งแม้ว่าผมจะเป็นตำรวจดูแลประชาชนให้อยู่อย่างเป็นสุขแล้ว ผมยังต้องมีหน้าที่พ่อทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัวต้องดูแลให้ทุกชีวิตในครอบครัวอยู่ดีกินดี มีความสุขด้วยเช่นกัน เจ้าของกิจการจึงยินยอมให้ทำงานด้วย

อดีตตำรวจน้ำดี กล่าวปิดท้ายว่า อยากฝากบอกทุกคนโดยเฉพาะตำรวจว่าอย่ายึดติดกับยศ และตำแหน่งมากจนเกินไป มันเป็นเหมือนหัวโขน เวลารุ่งเรืองก็มีคนสรรเสริญเยินยอ เวลาตกทุกข์หมดอำนาจวาสนาก็มีคนดูถูก ไม่มีใครจริงใจ อาชีพสุจริตเป็นอาชีพที่สูง ขอให้ดูแลครอบครัวให้ดีที่สุด เพราะสุดท้ายแล้วคนที่อยู่กับเราเสมอคือครอบครัวของเรานั่นเอง

เป็นตัวอย่างที่น่าชื่นชมมาก ๆ หวังว่าเรื่องราวของ ลุงอู๊ดจะสร้างแรงบันดาลใจให้กับหลาย ๆ คน ในการไม่ย่อท้อต่อโชคชะตา ยึดมั่นในการทำสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ยึดติดยศถาบรรดาศักดิ์ และรู้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต ความสุขที่แท้จริงไม่ได้อยู่ไกลตัว หรือหาใช่เงินทองของนอกกาย แต่คือครอบครัวของเรานั่นเอง.

ขอขอบคุณ : เดลินิวส์ คอลัมน์ คนดีของสังคม

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here