พ่อยืมเงินส่งให้ฉันเรียนจนจบ พบกลับบ้านถึงได้รู้ความจริง ทำเอาน้ำตาไหลพราก

0

พ่อยืมเงินส่งให้ฉันเรียนจนจบ พบกลับบ้านถึงได้รู้ความจริง ทำเอาน้ำตาไหลพราก

นับว่าเป็นหนึ่งในเรื่องราว ที่เราได้หยิบยกมาให้ทุกท่านและอ่านกัน เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักของพ่อลูกคู่นี้ที่มีให้กัน เมื่ออ่านจบชื่อว่าอะไรๆคนต้องน้ำตาไหลกันอย่างแน่นอน และเรื่องราวเหล่านั้นมีอยู่ว่า…

เป็นความทรงจำที่อยู่ในใต้ส่วนลึกของจิตใจที่ฉันไม่อาจมีวันลืมเลือน นั่นก็คือ ภาพของพ่อที่มีเศษฟางติดอยู่บนหัว พ่อได้มาหาฉันที่มหาลัย พ่อเป็นชาวเกษตรกรเขียนหนังสือและรู้จักหนังสือได้แค่ไม่กี่ตัวเท่านั้น ทั้งชีวิตทำมาหากินเป็นชาวนาชาวสวนชาวไร่ ไม่เคยจากบ้านไปไหนไกล แม้แต่ไปตัวเมืองใกล้ๆบ้าน พ่อก็นับครั้งที่จะไปได้

พ่อกับแม่สู้ชีวิตและกัดฟันทำนาทำไร่ ใช้แรงกายแรงใจเลี้ยงดูพวกเรา 5 คนพี่น้อง พี่ชาย พี่สาวพอได้โตขึ้นก็แต่งงานไปอยู่ไกลบ้าน ตัวฉันที่กำลังเรียนมอปลาย กลายเป็นความหวังเดียวของพ่อกับแม่

ปี 1994 ในที่สุดฉันก็ทำให้ความฝันของพวกท่านเป็นจริง ฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ กลายเป็นคนแรกในหมู่บ้านที่ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นรอยยิ้มอย่างมีความสุขของพ่อ แต่ตอนฉันอยู่ปีสอง แม่ที่เจ็บป่วยมานานก็จากพวกเราไป มองดูบ้านที่ว่างเปล่า

พ่อก็พูดกับฉันว่า “ไม่ต้องกังวลนะลูก ตั้งใจเรียนไป เรื่องที่บ้านไม่ใช่ปัญหาของแก ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหนพ่อก็จะส่งแกเรียนให้จบ”

หากพูดกันตรงๆแล้วชีวิตของคนบ้านนอกจนๆลำบากมาก การที่จะหาเงินแต่ละบาทนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย พ่อได้ไปขอยืมเงินพี่น้องทั่วสารทิศรวมๆได้ 3,000 บาท ส่งให้ฉันนั่งรถทัวร์กลับไปเรียน เมื่อฉันกลับมาเรียนนั้นฉันไม่ได้กินข้าวเช้า ในทุกวันในกินมื้อกลางวันกับมื้อเย็นก็กินแค่ข้าวเปล่ากับผักดอง พยายามประหยัดเงินกระเป๋าให้ได้มากที่สุด

แต่เพราะว่าประหยัดผิดวิธี ทำให้ในเทอมต่อมาฉันป่วยหนักมากเป็นเวลาครึ่งเดือนเต็มๆ แม้ว่าจะมีเพื่อนๆ ช่วยดูแลจนอาการดีขึ้น แต่ทุกคนก็ต้องให้ฉันยืมเงินมารักษาตัว หลังจากพยายามหาเงินด้วยตัวเองไม่สำเร็จ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเขียนจดหมายไปขอเงินจากพ่อ

บ่ายวันหนึ่งในสองสัปดาห์ต่อมา ฉันเลิกเรียนกลับมาที่หอพัก เสียงเคาะประตูดังขึ้น กลิ่นหญ้าที่ติดมากับเสื้อผ้าโชยเข้ามาในห้อง “พ่อ” คนที่มาเคาะประตูคือพ่อฉัน ฉันอึ้งไป “โอ้โห โรงเรียนแกใหญ่มา การหาแกเจอนี่ไม่ง่ายเลยนะ แล้วเป็นไงลูก หายดีรึยัง”

พ่อมาในชุดม่อฮ่อม แถมมีงอบด้วย ฉันยังเห็นเศษฟางเกาะอยู่บนหัวพ่อ “ดีแล้ว หายดีแล้วจ๊ะ” ความรู้สึกกลัวคนหัวเราะเยาะโผล่เข้ามาในจิตใจ ฉันรีบดึงพ่อเข้ามาในห้อง “พ่อมาได้ยังไงจ๊ะ” ดูเหมือนพ่อจะไม่ทันสังเกตเห็นแววตาที่เปลี่ยนไปของฉัน ท่านพิจารณามองฉันอย่างละเอียด แล้วก็พยักหน้า “หายดีก็ดีแล้ว”

จากนั้นก็เปิดย่ามผ้าขาวม้า เอามือล้วงลงไปแล้วหยิบกระเป๋าออกมาใบหนึ่งที่ดูไม่ออกแล้วว่าเป็นสีอะไร พ่อเปิดกระเป๋าแล้วหยิบเงินออกมา “ช่วงนี้หาเงินยาก ก็เลยเอามาให้แกช้าไปหน่อย เอ้านี่ 15,000 เอาไปคืนเพื่อนๆซะ” พ่อพูดไปพร้อมแววตาที่ดูเหน็ดเหนื่อย หมื่นห้า? ฉันสงสัย “พ่อไปเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะ?” พ่อกระแอมเบาๆ “พ่อไปยืมเขามา แกต้องใช้ประหยัดๆ นะ”

ฉันรับเงินมาจากพ่อ น้ำตาไหลพร้อมพยักหน้า “พ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะจ๊ะ” พ่อกินอาหารกลางวันที่ฉันเอามาจากโรงอาหาร จากนั้นก็เตรียมตัวกลับบ้าน พ่อถึงหน้าประตู ก็หันมาบอกฉันว่า “จากที่นี่กลับบ้านมันไกล ค่ารถก็ไม่น้อย ปีใหม่…แกไม่ต้องกลับหรอก” ฉันตกใจ ขมวดคิ้ว

หลังจากส่งพ่อเสร็จก็รีบไปเรียนคาบบ่ายต่อ ไม่รู้ทำไมคืนนั้นฉันนอนไม่หลับ พริบตาเดียวก็จะปีใหม่ และเพราะเพื่อนโน้มน้าว ฉันก็เลยซื้อตั๋วนั่งรถกลับบ้าน ฉันมาถึงหน้าประตูบ้าน พอเปิดประตูเข้าไปฉันก็อึ้ง ผนังใหม่สีขาว เฟอร์นิเจอร์ใหม่ครบชุด และเครื่องใช้ไฟฟ้า…..ทำไมพ่อ

“มาหาใครจ๊ะ?” หญิงวัยกลางคนคนนึงเดินออกมาถาม ดูเหมือนฉันจะเริ่มเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด โยนกระเป๋าหนังสือลงบนพื้น “หนูมาหาใคร คุณถามว่าหนูมาหาใคร นี่มันบ้านหนู!”

“บ้านหนู?” หญิงคนนั้นนิ่งไป “อ้อ! นี่คงเป็นลูกสาวที่เรียนอยู่มหาลัยของตาเจ้าสินะ แล้วนี่ปิดเทอมหรอ แล้วพ่อไม่ได้บอกหนูหรอ”

“คุณเป็นใครกันแน่?”

หญิงคนนั้นหัวเราะ “ฉันเพิ่งย้ายมาอยู่หมู่บ้านนี้ พ่อหนูขายบ้านหลังนี้ให้ฉันแล้ว”

“อะไรนะ?!” ฉันแทบทรุด “ขาย….ขายให้คุณแล้ว? แล้วพ่อหนูล่ะ พ่อหนูอยู่ไหน?”

“แกไปช่วยดูไร่ให้คนอื่นเขา ห่างออกไปสัก 10 กิโล”

ฉันไม่รู้ว่าตัวเองเดินออกมาจาก “บ้าน” ได้ยังไง แต่พอออกจากบ้านมา น้ำตาก็ไหลพราก ฉันร้องไห้โฮ วิ่งไปทางไร่ที่พ่อไปอาศัยอยู่

ฉันไม่รู้ว่าตัวเองวิ่งไปนานเท่าไหร่ ผ่านภูเขามากี่ลูก แล้วสุดท้ายฉันก็มองเห็นเงาของพ่อนั่งอยู่ตามลำพังในเพิงเล็กๆ

“พ่อ” ฉันตะโกนเรียกออกมาก่อนจะไปคุกเข่าลงตรงหน้าท่าน

พ่อนิ่งไปเมื่อมองเห็นว่าเป็นฉัน ก็รีบพยุงขึ้นมา “ลุกขึ้นมาลูก กลับมาก็ดีแล้ว กินข้าวรึยังเนี่ย” คืนนั้นพ่อไม่ได้พูดถึงเรื่องขายบ้าน แต่บ่นว่าคิดถึงแม่ ฉันน้ำตาไหล

หลังจากนั้นครึ่งเดือน ฉันก็บอกลาพ่อกลับไปมหาวิทยาลัย พ่อล้วงลงไปในย่ามหยิบกระเป๋าขึ้นมา ในนั้นมีเหรียญบาท เหรียญห้า เหรียญสิบ แบงค์ยี่สิบรวมๆ กันได้ 5 ร้อย “นี่เป็นค่าแรงพ่อ แกเอาไปซะ” ฉันน้ำตาคลอ “พ่อจ๊ะ ครั้งที่แล้วยังเหลืออยู่ เงินนี่พ่อเอาไว้ใช้เถอะ”

พ่อจ้องฉัน “อย่ามาโกหกพ่อเลย เงินนั่นคงหมดไปนานแล้ว พ่ออยู่บ้านนอกไร่นามีอะไรให้กินเยอะ แกอยู่โรงเรียนอะไรก็ต้องใช้เงิน….พ่อก็มีให้แกแค่นี้ เอาไปเถอะลูก อีกแค่ครึ่งปี ตั้งใจเรียนให้จบนะลูก แกเรียนจบพ่อจะได้มีหน้าไปเจอแม่แก” น้ำตาฉันไหลออกมาไม่หยุด พยักหน้าแล้วรับเงินมา “พ่อจ๋า ดูแลตัวเองดีๆ นะ หนูไปล่ะ”

ตอนที่พ่อไม่ได้สังเกต ฉันก็เอาเงินส่วนหนึ่งยัดลงไปใต้เสื่อ จากความพยายามในการรับจ้างทำงานและความช่วยเหลือของเพื่อน ในที่สุดฉันก็เรียนจบเทอมสุดท้าย หลังเรียนจบ ฉันไม่ลังเลที่จะกลับบ้านมาหาพ่อทันที

ตอนนี้ พ่อย้ายมาอยู่กับพี่ชายที่ย้ายกลับมาอยู่ที่หมู่บ้าน ฉันเองก็กลับบ้านไปหาท่านบ่อยๆ พ่อมักจะบอกกับฉันว่า “ไม่ต้องกลับมาบ่อยๆ ก็ได้ พ่อแข็งแรงดี แถมมีพี่สะใภ้แกดูแลอีก แกตั้งใจทำงานไปเถอะ” ฉันยิ้มแล้วพยักหน้า แต่ก็ยังกลับบ้านเป็นประจำ

ทุกครั้งที่อยู่เงียบๆ คนเดียว ภาพของพ่อที่มีฟางติดอยู่บนหัวจะโผล่เข้ามาในความทรงจำฉัน ฉันรู้ดีว่ามันประทับอยู่ในสมองของฉัน และจะมีผลกับฉันไปทั้งชีวิต

ชีวิตคนเราทุกคนนั้นเลือกเกิดไม่ได้แต่เราเลือกที่จะทำได้ ความลำบากทำให้เราต่อสู้เพื่อชีวิต ต่อสู้กับคนที่เรารักและคอยเป็นห่วงอยู่เสมอ เมื่อเราสู้กับชีวิตสู้กับปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นและเราทำความดี สิ่งดีๆก็จะย้อนกลับมาหาตัวเราดีที่สุด

ขอบคุณข้อมูลจาก : LIEKR

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here