“มีชีวิตอย่างสง่า แล้วมีความสุขอย่างสงบ” เมื่ออายุมากขึ้น

0

“มีชีวิตอย่างสง่า แล้วมีความสุขอย่างสงบ” เมื่ออายุมากขึ้น

การมีอายุที่มากขึ้นไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ว่าจะทำให้ความสุขของเราที่มีอยู่นั้นลดน้อยลง แต่การมีอายุที่มากขึ้น เราสามารถสร้างความสุขได้มากขึ้นด้วย ได้มีคุณป้าท่านหนึ่งมาโพสในกระทู้พันทิปและได้บอกไว้ว่า “อายุขนาดประมาณหนูนี่แหละ อยู่ในวัยแข็งแรงกำลังทำงานหลายๆอย่างได้อย่างเต็มที่”

คำพูดประโยคนี้ทำให้เราฉุกคิด และได้มองไปรอบๆ ผู้หญิงรอบตัวในวัยอายุประมาณนี้ เลยอยากที่จะเขียนกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อเป็นการแชร์ความท้าทายและคิดว่า ผู้หญิงในวัยอายุประมาณ 35 ถึง 53 ปี เมื่อเราได้เห็นและได้พูดคุยกับรุ่นพี่ๆที่เกษียณอายุกันไปแล้ว ทำให้เราได้เห็นอะไรหลายๆอย่าง และเห็นตัวอย่างที่ดี “แก่ไปอย่างสง่าและมีความสุขสงบ” ปีนี้เราอายุ 43 ปียังมีเวลาตั้ง 10 ปีเป็นช่วงความปั่นป่วนสนุกสนานที่เราจะต้องเผชิญ

ดังนั้น เราจะขอแชร์ความท้าทายที่ผู้หญิงในช่วงอายุขนาดนี้ ที่เราได้พบ ได้เห็น และได้ยินมาให้ฟังค่ะ

1. ด้านร่างกาย

ทางด้านร่างกาย เมื่อเริ่มเข้าสู่วัย 35 เมตาบอลิซึมในร่างกายของเราเริ่มมีความต่ำลง

กลิ่นสลึง แต่อ้วนบาท

พิซซ่าที่ยังไม่ได้กิน แค่ปลายตามองก็ทำให้อ้วนแล้ว

ปัญหาใบหน้าของเรา มีฝ้าขึ้นง่าย ลืมทาครีมกันแดดสัก 3 วัน

ออกไปโดนแดดมากๆ ฝ้าก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเราได้อย่างรวดเร็ว

สายตาที่มีเรื่องยาวขึ้น สีผมเริ่มเปลี่ยนสี

ริ้วรอยต่างๆเกิดขึ้นบนใบหน้า และตามลำตัวผิว และมีความแห้งมากขึ้น

บางคนอายุช่วงนี้เริ่มมีปัญหาสุขภาพ

ที่ต้องดูแลและหมั่นออกกำลังกาย

2. ด้านจิตใจและอารมณ์

ในด้านของจิตใจและอารมณ์ ที่มีช่วงวัยนี้เป็นช่วงที่เปราะบาง

มีอารมณ์หลายอารมณ์ เกิดขึ้นมาพร้อมกัน

จากเคยสวยผิว เคยเต่งตึง ก็เริ่มมีความหย่อน

ช่วงวัยกำลังพีคสุดของผู้ชายเลยทีเดียว

หน้าตา สติปัญญา ความสุขุม หน้าที่การงานเริ่มไต่ระดับผิวเพดานบน

ยิ่งถ้าเป็นผู้ชายอายุ 40 ปลายๆ และประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง

จนกระทั่งมีทั้งเงิน มีทั้งเวลา และมีความจำเป็นที่ต้องออกสังคม

เที่ยวเพลิดเพลิน ตีกอล์ฟ กินข้าวกับเพื่อน

ตอนนี้แหละ ที่ผู้หญิงเริ่มหวั่นไหวกังวลและมีความคิดมากไปหมด

3. ด้านการงานและอาชีพ

อันนี้เป็นของที่ต้องเลี้ยงประคองและ เหวี่ยงสลับรับกันไปมา juggle ให้ดีอย่างแท้จริง

Indra Nooyi ซีอีโอเชื้อสายอินเดียของ เป๊ปซี่ อธิบายได้ดีที่สุด เธอบอกว่า….

“จากการสังเกตของดิฉัน นาฬิกาชีวภาพ และนาฬิกาด้านความหน้าทางอาชีพการงาน

ขัดแย้งกันไปหมด เป็นการขัดแย้งที่สมบูรณ์แบบ เวลาคุณมีลูก

คุณก็ต้องสร้างฐานะในหน้าที่การงานไปด้วย

และขณะที่คุณเริ่มจะไต่ขึ้นไปเป็นผู้บริหารระดับกลาง ลูกต้องการคุณ

เพราะเค้าเป็นวัยรุ่น เค้าต้องการแม่ตอนที่ยังเป็นวัยรุ่น

และในเวลานี้ สามีคุณก็จะเริ่มกลายมาเป็นวัยรุ่นไปอีก

พวกเค้าทั้งหมดต้องการคุณ แล้วคุณทำไงล่ะทีนี้ ?

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อคุณอายุมากขึ้น พ่อแม่คุณก็ต้องการคุณอีก

เพราะพวกท่านก็อายุมากขึ้น…เราเลยต้องรับเละ”

เมื่อวาน เราคุยกับเจ้าของโรงเรียนนานาชาติคนหนึ่ง

เธอแชร์ให้ฟังว่า เธอต้องใช้เวลาถึง 5 ปี

กว่าจะเริ่มปรับและลงตัวกับการทำงานบริหารโรงเรียน

และเป็นคุณแม่ไปด้วยในเวลาเดียวกัน ทำงานมากก็รู้สึกผิดกับลูก

ทำงานไม่เต็มที่ก็รู้สึกผิดกับองค์กร รู้สึกถึงความรับผิดชอบไปทุกอณูเนื้อ

จนทุกวันนี้ เธอเล่าว่า… ต้องพยายามชดเชยให้ลูกด้วยการพาลูกมานอนด้วยกัน

เพื่อช่วยคลายความรู้สึกผิดที่ตอนลูกยังเล็ก ปล่อยลูกกับพี่เลี้ยงตลอด

4. ด้านครอบครัว

คนส่วนใหญ่หย่ากันหรือเลิกกันในช่วงอายุนี้กันเยอะนะคะ

เป็นการเลิกที่เจ็บปวดด้วย เพราะอยู่ในช่วงอายุที่ไตร่ตรองการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้ว

ผู้หญิงหลายคน หากวางแผนชีวิตไม่ดี และต้องเลิกในช่วงอายุ 30 ปลายๆ ไปนี่

หลายคนเสียศูนย์ และสูญเสียความมั่นใจในการเริ่มชีวิตใหม่กับคนใหม่ๆ

หรือ ถึงอยากเริ่มใหม่ ในช่วงอายุขนาดนี้ ด้วยพันธะที่อาจจะมี

ด้วยรูปร่างหน้าตาที่เปลี่ยนไป ทำให้การเริ่มชีวิตคู่ใหม่

โอกาสลดน้อยลงไปมาก ไหนจะมีความกดดันทางสังคมและการเงินเพิ่มมาอีก

ส่วนสาวโสด ไม่ว่าจะเก่งกล้าหรือดูแลตัวเองได้ดีอย่างไร

เมื่อเริ่มมาถึงช่วงอายุนี้ ก็จะถูกกดัน

หรือถูกมองและไต่ถามด้วยความเป็นห่วงว่าจะไม่แต่งจริงๆ

หรือ จะอยู่ได้จริงๆ หรือ จนทำให้เครียดโดยไม่จำเป็น

ขอบคุณข้อมูลจาก : rukpost

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here